"กูรู" ชี้ เฟดมีลุ้นลดดอกเบี้ย หนุนกระแสเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง

"กูรู" ชี้ เฟดมีลุ้นลดดอกเบี้ย หนุนกระแสเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง

นักวิเคราะห์ชี้ว่า เฟดมีโอกาสสูงที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปลี่ยนขั้วคะแนนเสียงของคณะกรรมการเฟดมาเป็นฝ่ายสนับสนุนการลดดอกเบี้ย, ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ลดลง และการคาดการณ์ว่าประธานเฟดคนใหม่อาจเป็น เควิน แฮสเซ็ต ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนนโยบายผ่อนคลาย

KEY

POINTS

  • นักวิเคราะห์ชี้ว่าเฟดมีโอกาสสูงที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปลี่ยนขั้วคะแนนเสียงของคณะกรรมการเฟดมาเป็นฝ่ายสนับสนุนการลดดอกเบี้ย, ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ลดลง และการคาดการณ์ว่าประธานเฟดคนใหม่อาจเป็น เควิน แฮสเซ็ต ซึ่งมีแนวโน้มสนับสนุนนโยบายผ่อนคลาย
  • การลดดอกเบี้ยคาดว่าจะส่งผลบวกโดยตรงต่อสินทรัพย์เสี่ยง ทำให้กระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ที่ถูกมองว่ามีพื้นฐานแข็งแกร่งและผลประกอบการดีกว่าคาด
  • ผลกระทบต่อสินทรัพย์อื่นคาดว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะอ่อนค่าลง ในขณะที่ตลาดพันธบัตรอาจเผชิญแรงเทขายจากความกังวลเรื่องการกู้ยืมของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น
  • อย่างไรก็ตาม กูรูมองว่าตลาดอาจรับรู้ข่าวการลดดอกเบี้ยไปมากแล้ว ซึ่งอาจทำให้ผลบวกต่อราคาหุ้นมีจำกัดในระยะสั้น และการลดดอกเบี้ยครั้งถ

ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการประชุมเฟดอย่างใกล้ชิด หลังหลายสำนักวิจัยคาดมีโอกาสสูงที่จะเห็นการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจเป็นแรงหนุนสำคัญต่อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ

ประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ภาพรวมการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการลดดอกเบี้ยมาจากสัญญาณประธานเฟดคนต่อไปคือ จุดเปลี่ยนสำคัญมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ได้ออกมากล่าวว่าตนทราบแล้วว่าใครจะมาเป็นประธานเฟดคนต่อไป ตลาดจึงคาดการณ์ว่าผู้ที่ถูกเล็งไว้คือ Kevin Hassett นับตั้งแต่วันนั้น ตลาดก็ได้พลิกกลับมาเชื่อมั่นว่าเฟดน่าจะลดดอกเบี้ยอย่างแน่นอน
 

ขณะเดียวกันความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่เบาบางลง จากสาเหตุหนึ่งที่เฟดลังเลที่จะลดดอกเบี้ยคือ ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่ทำให้เฟดสบายใจขึ้น เมื่ออำนาจของศาลสูงของสหรัฐ หากศาลมีแนวโน้มที่จะมองว่าคำสั่งของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ บางอย่างเกินขอบเขตอำนาจ ซึ่งมีโอกาสสูง และหากศาลสั่งจริง อาจส่งผลให้มีการยกเลิกภาษีนำเข้า (Tariff)  จะช่วยให้ปัญหาเงินเฟ้อเบาบางลงได้ ทำให้เฟดสามารถลดดอกเบี้ยในปีหน้าได้อย่างสบายใจ

และการเปลี่ยนขั้วคะแนนเสียงภายใน ซึ่งก่อนหน้านี้มีกรรมการเฟดบางท่าน เช่น อัลเบร์โต มูซาเลม ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ ที่ไม่ต้องการให้ลดดอกเบี้ยในตอนนี้ และมีกรรมการที่ไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยถึง 5 คน จากบอร์ดทั้งหมด 12 คน ทำให้ตลาดเชื่อว่าจะไม่มีการลด แต่ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป เมื่อ จอห์น ซี. วิลเลียมส์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ออกมากล่าวว่า เขาจะเชียร์ให้มีการลดดอกเบี้ย เมื่อมีการนับจำนวนคนกันใหม่ ทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยมีถึง 6 คน และคาดว่า ฟิลิป เจฟเฟอร์สัน รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็อาจจะเอียงมาทางด้านการลดด้วยเช่นกัน ทำให้คะแนนเสียงปัจจุบันอาจเป็น 7:5 ซึ่งส่งผลให้การลดดอกเบี้ยมีโอกาสสูงมาก 

ทั้งนี้ กรรมการที่คาดว่าจะสนับสนุนการลดดอกเบี้ยประกอบด้วย จอห์น ซี. วิลเลียมส์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก , ลิซ่า คุก คณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ , คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ คณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ, มิเชลล์ โบว์แมน รองประธานฝ่ายกำกับดูแลธนาคารกลางสหรัฐ , สตีเฟน มิแรน คณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ  และฟิลิป เจฟเฟอร์สัน รองประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ

ทั้งนี้ หากมีการลดอัตราดอกเบี้ยจริงตามที่คาดการณ์ จะมีสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์

1.ตลาดพันธบัตรอาจเสียประโยชน์ อาจเกิดแรงเทขายในตัวพันธบัตร เนื่องจากนักลงทุนมองว่าการลดดอกเบี้ยอาจนำไปสู่ภาวะที่รัฐบาลสหรัฐต้องขาดดุลการคลัง และต้องกู้เพิ่ม เมื่อมีการกู้เพิ่ม ปริมาณพันธบัตรที่ออกมาในตลาดก็จะเยอะขึ้น และคนจะเทขาย ดังนั้นการถือพันธบัตรในช่วงเวลานี้อาจมีความเสี่ยง

2.สินทรัพย์เสี่ยงได้ประโยชน์จะตอบรับในทางที่ดี คาดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นกันถ้วนหน้า

3.ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง เนื่องจากเฟดลดดอกเบี้ย ในขณะที่ทางฝั่งญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะมีการลดดอกเบี้ย แต่ผลกระทบต่อราคาหุ้นอาจไม่มากนัก เพราะตลาดอาจตอบรับและรับรู้ไปแล้ว และหลังจากการลดดอกเบี้ยในครั้งนี้แล้ว ครั้งหน้าอาจจะไม่มีการลดต่อทันที แต่การลดครั้งถัดไปอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเดือน มี.ค.2569 

พิริยพล คงวาณิช ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า  ภาพรวมตลาดการเงินและกลยุทธ์การลงทุน โดยให้ความเห็นว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงวันที่ 9-10 ธ.ค.นี้ หากมีการปรับลดดอกเบี้ยจริง จะส่งผลในเชิงบวกต่อภาพรวมของสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ ทั้งตลาดหุ้นและราคาทองคำ

ทั้งนี้มองว่า เฟดน่าจะลดดอกเบี้ยคือ การให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว มากกว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ซึ่งประเมินว่าความเสี่ยงเงินเฟ้อยังจำกัดอยู่ นอกจากนี้ ยังเห็นสัญญาณความอ่อนแอของแรงงานค่อนข้างชัดเจน แต่ทว่า เฟดจะไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ ก็คาดว่าจะไปปรับลดในช่วงต้นปี 2569 ถัดไปอยู่ดี

สำหรับความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังในกรณีที่มีการลดดอกเบี้ยจริง ซึ่งนักลงทุนอาจตีความว่าตัวเลขเศรษฐกิจกำลังจะแย่จริงหรือไม่ แต่จากการย้อนดูในอดีต หากตัวเลขการจ้างงานยังไม่ติดลบ หรือยังไม่เห็นการเลย์ออฟครั้งใหญ่ ตลาดมักจะตีความการลดดอกเบี้ยในเชิงบวกในช่วงแรก โดยรวมแล้ว sentiment ยังเป็นบวก แต่ตลาดจะจับตาดูตัวเลขการจ้างงานอย่างใกล้ชิด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดโลกแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยมองว่าการปรับฐานราคาที่ผ่านมามีโอกาสที่จะกลับมาเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์อัพได้ เหตุผลสำคัญคือภาพรวมของกระแสเงินสดในรอบนี้ถือว่า มีความแข็งแรงกว่ารอบก่อน ๆ ค่อนข้างมาก และผลประกอบการในไตรมาส 3/68 ของบริษัทในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ และเห็นการปรับเพิ่มประมาณการ การปรับฐานในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการปรับฐานเพื่อที่จะปรับขึ้นต่อไป 

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยนั้นมีภาพที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยมองว่าตลาดในระยะสั้นมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวแบบไซเวย์ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดจำกัด คือ Valuation ของดัชนีหุ้นไทยที่ประมาณ 14.3 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในภูมิภาคที่ 13 เท่า จึงถือว่าไม่ได้ถูกนัก ประกอบกับทิศทางประมาณการกำไรของตลาดโดยรวมยังคงถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจึงต้องเน้นการเลือกหุ้นเป็นรายตัว โดยมีปัจจัยหนุนบางส่วน เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการพูดคุยถึงความคืบหน้าของมาตรการหนุนตลาดทุนอย่าง TISA ซึ่งคาดว่าจะนำเม็ดเงินใหม่เข้ามาหนุนกลุ่มธนาคาร

สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่าปัจจัยสนับสนุนจากคณะกรรมการเฟดส่วนใหญ่ที่ออกมายืนยันว่าจะมีแรงจูงใจ ในการลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต และยอดค้าปลีกที่ออกมาในลักษณะสนับสนุนฝั่งของการลดอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ บล.กสิกรไทย คาดว่า เฟดมีโอกาสที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในรอบนี้ และลดอีก 3 ครั้งในปี 2569 ซึ่งต่างจากตลาดที่คาดการณ์ไว้เพียง 1-2 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ price in การลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ไปแล้ว หากผลการประชุมออกมาว่า ไม่ลดอัตราดอกเบี้ย อาจจะเห็นแรงเทขายในระยะสั้นได้ แต่ทว่าสิ่งที่ตลาด ยังไม่ได้ price in คือการแต่งตั้งผู้ว่าเฟดคนถัดไปต่อจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งคาดว่าจะมีการเคาะตำแหน่งในช่วงปลายเดือน ธ.ค.2568 ถึงต้นเดือน ม.ค. 2569โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีรายชื่อผู้ที่ถูกเสนอโดยรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ทั้งหมด 3 ชื่อ ได้แก่ เควิน แฮสเซ็ต , เควิน วอร์ช , และ คริสติน วอร์เนอร์  โดยล่าสุดมีโทนที่ค่อนข้างชัดเจนว่า เควิน แฮสเซ็ต น่าจะเป็นผู้ที่ได้รับเลือก

ทั้งนี้ในส่วนของหุ้นสหรัฐยังคงมีมุมมอง เชิงบวก และคาดว่าตลาดสหรัฐฯ จะยังคงสามารถ Outperform ได้อยู่ ทั้งนี้การปรับฐานในกลุ่ม Hyper-scaler ยอมรับว่า ปีหน้ามีโอกาสปรับฐาน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม นี่เป็นการมองว่าเป็นเพียงการปรับฐาน ไม่ใช่การจบรอบ และมองว่าเป็นโอกาสในการซื้อ

"การปรับตัวขึ้นของหุ้นสหรัฐฯ เกิดจาก EPS Growth Upgrade ที่แท้จริง โดยไตรมาส 3/68 ที่ผ่านมา งบดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เคยเห็นมาตลอด 4 ปี ขณะที่ AI มีลักษณะของการเพิ่มเม็ดเงินการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ถึงแม้จะมีการย่อตัวลงมา ก็ยังมองว่าเป็นโอกาสในการซื้อ"