หุ้นไทยวันนี้ 9 ธ.ค.68 ความไม่สงบไทยกับกัมพูชาสร้างแรงกดดันเชิงจิตวิทยา

บล.พาย เผย ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันเชิงจิตวิทยาจากความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้ดัชนี SET ปรับตัวลง ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ถูกมองว่าไม่มีนัยสำคัญ
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันเชิงจิตวิทยาจากความไม่สงบระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้ดัชนี SET ปรับตัวลง
- ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจโดยตรงต่อบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ถูกมองว่าไม่มีนัยสำคัญ
- อย่างไรก็ตาม บริษัทบางแห่งที่มีรายได้ในกัมพูชาอาจได้รับผลกระทบในสัดส่วนที่เล็กน้อย เช่น CBG, CPALL, และ OR
- ความไม่สงบอาจสร้างแรงกดดันต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
หุ้นไทยวันนี้ 9 ธ.ค.68 บล.พาย เปิดเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 215 จุด -0.45%) ถูกกดดันจากการปรับขึ้นของ US Bond Yield นักลงทุนค่อนข้างระมัดระวังการซื้อขายก่อนจะทราบผลประชุม FED ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.9% หลังมีรายงานว่าอิรักกลับมาดำเนินการผลิตน้ำมัน
ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้มีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลงจากการเร่งตัวขึ้นของ US Bond Yield โดยที่ไม่ได้มีปัจจัยอะไรที่กดดันให้ US Bond Yield ปรับขึ้นแต่คาดการณ์ว่าอาจเป็นเพราะเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่เฉลี่ยอยู่ในช่วง 2.8-3% พร้อมกับดอกเบี้ย FED ที่อยู่ระดับ 4% ทำให้การลดดอกเบี้ยจากนี้ของ FED อาจทำได้ไม่มากเท่าใดนัก เพราะดอกเบี้ย - เงินเฟ้อมักควรอยู่สูงกว่าเฉลี่ย 0.5% ดอกเบี้ย FED อาจลดอีกไม่กี่ครั้ง (ราว 2-3 ครั้ง) ประกอบกับนักลงทุนบางส่วนอาจเลือกขายพันธบัตรก่อนที่ประชุม FED จะเริ่มขึ้นในช่วงกลางคืนของวันพุธหรือทราบผลทางการในวันพฤหัสบดีช่วงเช้าตามเวลาประเทศไทย CME FED Watch ให้น้ำหนักมากถึง 87% ที่ FED จะปรับลดดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งนี้ 0.25%
โดยคืนนี้รอติดตามการประกาศตัวเลขตำแหน่งเปิดรับสมัครงานของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 7.1 ล้านตำแหน่ง ส่วนคืนวันพุธไม่มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ (พรุ่งนี้ตลาดหุ้นไทยปิดทำการ) การประชุมครั้งนี้ค่อนข้างสำคัญเพราะจะรายงานทั้งแนวโน้มดอกเบี้ยช่วงถัดไป ตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ กลับมาที่ปัจจัยในประเทศเผชิญแรงกดดันเชิงจิตวิทยาจากความไม่สงบระหว่างไทย-กัมพูชา แม้ในเชิงเศรษฐกิจรวมไปถึงบริษัทจดทะเบียนจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
แต่อย่างไรก็ตาม อาจมีบางบริษัทที่มีรายได้ในกัมพูชาได้รับผลกระทบ อาทิ CBG CPALL OR (แต่ก็เป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย) ในขณะเดียวกันอาจกดดันถึงการท่องเที่ยวไทยจากต่างชาติที่กำลังเข้าสู่ช่วงปัจจัยฤดูกาล
โดยวันนี้รอติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรีที่อาจนำมาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ เข้าพิจารณา วานนี้มีรายละเอียดออกมาเบื้องต้นแต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจน วันนี้ประเมิน SET INDEX เสี่ยงปรับตัวลงในกรอบ 1250 – 1265 เผชิญแรงกดดันจากการปรับลงของหุ้นสหรัฐฯ และจิตวิทยาเชิงลบจากการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชาประกอบกับนักลงทุนบางส่วนอาจเลือกขายทำกำไรก่อนที่จะเข้าสู่วันหยุดระหว่างสัปดาห์
ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนแม้จะมีปัจจัยกดดันแต่พื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไม่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จึงมองเป็นโอกาสสะสมเพื่อรอการฟื้นตัวในช่วงที่ปัจจัยกดดันข้างต้นจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น เน้นที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) ค้าปลีก (CPALL HMPRO) ศูนย์การค้า (CPN) การเงิน (MTC TIDLOR) ท่องเที่ยว (MINT CENTEL)







