ตลท.ชี้ ESG ไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ทางรอด’ เศรษฐกิจไทยสู่เวทีโลก

ตลท. มองกระแส “ESG” ไม่ใช่ "ทางเลือก" แต่เป็น "ทางรอด" ธุรกิจไทย ช่วยดึงดูดเงินทุน ผ่านกองทุนยั่งยืนทั่วโลกปี 67 พบ AUM 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ แรงตัว 4 เท่าจากปี 61
KEY
POINTS
- ตลท. ชี้ว่า ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น "ทางรอด" ของธุรกิจไทยในการแข่งขันบนเวทีโลก เนื่องจากเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
- ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวด้าน ESG จะเสียเปรียบในการแข่งขันสูง อาจถูกกีดกันทางการค้าผ่านกำแพงภาษีคาร์บอน และได้รับความสนใจจากนักลงทุน และผู้บริโภคน้อยลง
- กระแสการลงทุนทั่วโลกมุ่งสู่ความยั่งยืนอย่างชัดเจน โดยมูลค่ากองทุนยั่งยืนทั่วโลกเติบโตขึ้นกว่า 4 เท่าในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา
- ตลท. มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน และยกระดับมาตรฐาน ESG ของตลาดทุนไทย ผ่านการจัดอันดับหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) และการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ยั่งยืน เพื่อดึงดูดนักลงทุน
บนเวทีงานสัมมนา “SUSTAINABILITY FORUM 2026” Shift Forward: Overcoming Challenges จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” นาย อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในหัวข้อ "Thai ESG Tools For Sustainable Investment : ยกมาตรฐานตลาดทุนไทยด้วย ESG "ว่า ตลท.มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาล และการยกระดับมาตรฐานตลาดทุนไทย โดยชี้ว่า ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) “ไม่ใช่ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” ของธุรกิจไทยในการแข่งขันระดับภูมิภาค และระดับโลก
เนื่องจาก กระแส ESG นั้นทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลงทุนยั่งยืน สะท้อนจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตลาดทุนโลก เราพบว่า ในปี 2567 กองทุนยั่งยืนทั่วโลก มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มกว่า 4 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2561 และธุรกิจที่ไม่ได้คำนึงถึง ESG จะกลายเป็นธุรกิจที่ได้รับความสนใจ จากนักลงทุน และผู้บริโภค “น้อยลง”
พร้อมกันนี้ ล่าสุดทาง OECD มีคำแนะนำด้านธรรมาภิบาลในตลาดทุนที่รวมถึง ESG การพัฒนาด้าน ESG จะช่วยให้ไทยยกระดับสู่มาตรฐานสากล หากไทยไม่ลงทุนหรือพัฒนา อาจเสียเปรียบด้านการแข่งขัน
“กองทุนโลกเลิกลงทุนในพลังงานถ่านหิน สะท้อนว่าความยั่งยืน คือ เงื่อนไขสำคัญของการเข้าถึงเงินทุน และการไม่พัฒนาด้าน ESG จะทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน อาจถูกกีดกันทางการค้า เช่น ภาษีคาร์บอน และถูกจำกัดการลงทุนในบาง อุตสาหกรรม”
กฎระเบียบ เป็นทั้งความท้าทาย และสร้างโอกาสใหม่
นายอัสสเดช กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยกําลังเผชิญความท้าทายภายนอกที่ต้องเร่งการปรับตัวทางด้าน ESG แต่เราถือว่า ESG จะเป็นโอกาสที่ไทยจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาคได้
จากการ “การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบโลก” เปิดทางให้ธุรกิจไทย เข้าสู่ Clean Tech และ Green Supply Chain และความเสี่ยงจาก Climate Change ทําให้ความต้องการ การลงทุนใน Climate adaptation solutions เพิ่มสูงขึ้น
แต่ด้าน “กฎระเบียบทั่วโลกที่เปลี่ยนไป” มาพร้อมกับความท้าทายเช่นกัน อย่างกรณี การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ห่วงโซ่อุปทานต้องปรับตัว โดยเฉพาะในเรื่อง “ความต้องการความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทาน”
โดยเฉพาะ "การส่งออกในอนาคต" จะถูกตรวจสอบถึงกระบวนการผลิต และปริมาณการปล่อยคาร์บอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Carbon Border Adjustment Mechanism - CBAM) เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า "สะอาด" หากไม่ปรับตัวจะส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจริงๆ แล้ว เรามองว่าทุกมาตรการสากล ไม่ได้เพียงตั้งกําแพง แต่เรามองว่า ยังเป็นโอกาสสร้างตลาดใหม่ สำหรับผู้ที่มีความพร้อมมากกว่า
“ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่จีนเป็นผู้นำ หากไทยไม่สร้างซัพพลายเชนที่สะอาด และตรวจสอบย้อนกลับได้ จะเสียเปรียบในการส่งออกไปยุโรปที่เข้มงวดด้านภาษีคาร์บอน”
บทบาท-โครงการของ ตลท.ส่งเสริม ESG
แต่ที่ผ่านมา ตลท.เดินหน้าผลักดันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น ในฝั่งของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีการส่งเสริมการจัดอันดับ ESG ( SET ESG Ratings) โดยเราทำงานร่วมกับ ก.ล.ต. และภาครัฐ อย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนมีการจัดอันดับ ESG ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ
ปี 2567 มีจํานวนบริษัทที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings สูงถึง 220 บริษัท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อนหน้า พบว่า มีการผนวกความยั่งยืนเข้าไปในกระบวนการทางธุรกิจ เป็น BENCHMARK ด้านความยั่งยืนที่บริษัทนําไปใช้อย่างแพร่หลาย
รวมทั้ง ตลท.และ บริษัทจดทะเบียน(บจ.) ได้มีการ นํา ESG มาเป็นกลยุทธ์ ที่รองรับความท้าทายในการทำธุรกิจ สำหรับ ตลท. ตั้งเป้า Net Zero และลดการใช้กระดาษ โดยส่งเสริมการประชุม และเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ (QR Code Green) ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่าย และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ บมจ. ซีพีเอฟ (CPF) เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ตั้งเป้า Net Zero ภายใต้ SBTi ตามมาตรฐานระดับสากล
บมจ.ปูนซีเมนต์ไทย (SCG) มีตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์ Green Choice เป็น 67% ภายในปี 2573 ,บมจ. ดูโฮม (Dohome) สนับสนุนชุมชนใกล้เคียงธุรกิจ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และ บมจ. ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) เป็นผู้นำในการจัดการห่วงโซ่อุปทานยางพาราที่ยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของยุโรปที่ต้องการยางพาราที่ไม่ทำลายป่า
พร้อมกันนี้ ในฝั่งของนักลงทุน ตลท. ผลักดัน ผลิตภัณฑ์การลงทุนมีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดครอบคลุมตราสารหนี้ ตราสารทุน และกองทุนรวม สะท้อนผ่าน “การเติบโตของการลงทุนยั่งยืน” ทั้ง กองทุนรวมด้านความยั่งยืนมีมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) กว่า 135,293 ล้านบาท และส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของภาครัฐเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี จากกองทุน ESG ในไทยเติบโต เกือบ 6 เท่า ใน 1ปี จาก 11,564 ล้านบาทเป็น 78,292 ล้านบาท
ตราสารหนี้ยั่งยืน มีมูลค่ากว่า 913,636 ล้านบาท เติบโต 12% จากสิ้นปี 2567 โดยมีผู้เล่นสำคัญ เช่น เอ็กซิมแบงก์ ออก Blue Bond 3,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนธุรกิจอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเล–ชายฝั่ง มียอดจองซื้อสูงถึง 2.5 เท่า , บริษัท CK Power ออก Green Bond 5,000 ล้านบาท เพื่อนําไปลงทุนในโครงการไฟฟ้า โดยมียอดจองเกินกว่าวงเงินที่เสนอขาย และ ธนาคารกสิกรไทย ออก Green Bond 5,000 ล้านบาท มียอดจองซื้อสูงถึงเกินกว่าที่เสนอขายถึง 2 เท่า
อีกทั้ง ตลท. ได้ ยกระดับข้อมูล ESG และ มาตรฐาน สากล นายอัสสเดช กล่าวว่า ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา ตลท. สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูล ESG ระดับสากล ได้แก่ SASB (Sustainability Accounting Standards Board)มุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่มีผลกระทบทางการเงิน และ TCFD (Task Force on Climate-related Financial Disclosures)
นอกจากเดินหน้ายกระดับด้าน ESG ที่ใช้ SET ESG Rating แล้ว ตลท. เตรียมประกาศใช้เกณฑ์ FTSE Russell ESG Scores เต็มรูปแบบ ในปีหน้า เพื่อสร้างการยอมรับในระดับสากล แก้ปัญหาวิกฤติศรัทธา ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น
ตลาดทุน เชื่อมโยงทุกส่วน
สู่เป้าหมายความยั่งยืน
นายอัสสเดช กล่าวย้ำว่า ตลท.ยังได้วางแผนกลยุทธ์ 3 ด้าน และแนวทางปฏิบัติ 5 ข้อ เพื่อสร้างความเท่าเทียม และความโปร่งใส ร่วมมือกับ ก.ล.ต., ปปง. และทุกภาคส่วนในการลงโทษพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว
อีกทั้งเดินหน้าผลักดันสิ่งใหม่ๆ ในตลาดทุนไทย อย่างการผลักดันโครงการใหม่ เช่น โครงการส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าให้แก่บริษัทจดทะเบียน ( Jump+ ) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุน , Bond Connect Platform ให้รายย่อยเข้าถึงพันธบัตรรัฐบาล, AomWise แอปออมไว้ เพื่อการลงทุนระยะยาว และการให้ความรู้ความเข้าใจ
และทันสถานการณ์ เช่น การเตือนภัยการลงทุนหลอกลวง และการสร้าง Next Genของ ตลาดทุน ที่ครอบคลุมทั้งผู้ลงทุน ผู้ประกอบวิชาชีพ ภาคการศึกษา และ Influencer
นอกจากนี้ ตลท. ยังได้ เปิดตัวแพลตฟอร์ม SET Carbon เพื่อช่วยลดความซับซ้อน และค่าใช้จ่ายในการจัดทำรายงาน ESG โดยเฉพาะสำหรับ SMEs ช่วยลดต้นทุน และอำนวยความสะดวกในการรายงานข้อมูลคาร์บอน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทย
นายอัสสเดช เน้นย้ำว่า การสร้างตลาดทุนที่ยั่งยืนไม่สามารถทำได้เพียงหน่วยงานเดียว แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน ผู้ให้บริการ และหน่วยงานภาครัฐ เพื่อพลิกความท้าทายให้เป็นโอกาส และทำให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
“ตลท.ในฐานะศูนย์กลางของตลาดทุน จะมีบทบาทในการเป็นตัวเชื่อมให้เกิดการทำงานร่วมกัน เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้เติบโต และแข่งขันได้ในเวทีโลกอย่างยั่งยืน”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







