เฝ้าดูทิศทางอัตราดอกเบี้ย

คาดทั้ง FED และ กนง. มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในที่สุด โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี ส่วนไทยมีปัจจัยเรื่องอุทกภัยมาสนับสนุน
KEY
POINTS
- ทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังคงไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นในปีนี้หรือปีหน้า ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงิน
- ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ทำให้คณะกรรมการ FED มีความเห็นแตกแยก โดยฝ่ายหนึ่งกังวลเรื่องเงินเฟ้อจึงไม่ต้องการลดดอกเบี้ย ขณะที่อีกฝ่ายกังวลภาคการบริโภคและต้องการให้ลด
- สำหรับประเทศไทย สถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเป็นไปได้ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- ผู้เขียนคาดการณ์ว่าทั้ง FED และ กนง. มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในที่สุด โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี ส่วนไทยมีปัจจัยเรื่องอุทกภัยมาสนับสนุน
ในเดือน พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภาวะการลงทุนโดยรวมค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะในตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมทั้งตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน และทอง ยิ่งไปกว่านั้นตลาดหุ้นไทยก็ถูกลดน้ำหนักการลงทุน จากดัชนีหุ้น MSCI EM ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมค่อนข้างอึมครึม ความผันผวนที่สองเกิดขึ้นกับตลาดการเงิน เนื่องจากทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยของ FED เริ่มดูจะไม่แน่นอนว่าจะปรับลดลงหรือรอไปปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับประเทศไทยในประเด็นของอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคทั้งประเทศ อาจจะทำให้ความเป็นไปได้ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีความเป็นไปได้มากขึ้น ความสับสนของนโยบายการเงิน และความกังวลในสินทรัพย์มั่นคงเช่น ทองคำ รวมทั้งความกังวลที่มีต่อการขยายตัวในธุรกิจ AI ในตลาดหุ้นต่างประเทศ ล้วนแล้วแต่เป็นความกังวลที่จะส่งผ่านไปตลอดเดือน ธันวาคม มาติดตามดูรายละเอียดกันครับ
เห็นอะไรก็เล่าตามนั้น เริ่มจากต่างประเทศก่อน กลุ่ม OPEC+ มีมติให้เพิ่มกำลังการผลิตในเดือนธันวาคมอีก 137,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับที่เพิ่มไปเมื่อเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ทางกลุ่มตัดสินใจที่จะระงับการเพิ่มการผลิตในไตรมาสแรกของปีหน้าไว้ก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเหตุผลทางด้านปัจจัยฤดูกาล น้ำมันก็เดินหน้าลงไป ส่วนปีหน้ากลับมาติดตามสถานการณ์อีกครั้ง
เรื่องถัดมาดูแล้วเหมือนการละคร คือ ศาลสูงสหรัฐฯเริ่มไต่สวนต่อมาตรการภาษี Tariff ของคุณทรัมป์ที่มีการประกาศเรียกเก็บในช่วงที่ผ่านมา โดยมีผู้พิพากษาคนสำคัญหลายท่านชี้ว่าประธานาธิบดีทรัมป์อาจใช้อำนาจเกินขอบเขตในนโยบายเศรษฐกิจหลักของตน โดยผู้พิพากษาในฝ่ายอนุรักษนิยม 3 คนตั้งคำถามต่อการที่ทรัมป์ใช้อำนาจตามกฎหมายภาวะฉุกเฉินเพื่อเรียกเก็บภาษีศุลกากรจำนวนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ต่อเดือน
ทั้งนี้ การตัดสินน่าจะทราบผลได้เร็วที่สุดภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากศาลได้กำหนดกระบวนการพิจารณาอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ว่าผลออกมาอย่างไรการเร่งปิดการเจรจาและลงนามกับแต่ละประเทศก็ถือว่าเป็นการเจรจาที่ได้ข้อยุติไปแล้ว ยังเป็นเรื่องของ สหรัฐฯ ด้าน สภา Congress ของสหรัฐฯ มีมติเห็นชอบร่างงบประมาณชั่วคราว หลังจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในร่างกฎหมายใช้จ่ายงบประมาณนี้ ซึ่งถือเป็นการยุติภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ท้ายสุดคือ ตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯเดือนกันยายนออกมาผสมผสาน โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นที่ระดับ 119,000 ตำแหน่ง สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 53,000 ตำแหน่ง ในขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.4% สูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจ้างงานในเดือนก่อนหน้าถูกปรับลดพอสมควร โดยเป็นการลดลงของการจ้างงาน 4,000 ตำแหน่งในเดือนสิงหาคม อันนี้แหละที่เป็นประเด็นหลักที่ทำให้กรรมการ FED เริ่มเสียงแตกในเรื่องการลดหรือไม่ลดอัตราดอกเบี้ย ไม่อยากลดเพราะกลัวเงินเฟ้อ อีกส่วนอยากลดเพราะกังวลภาคการบริโภค
มาถึงประเทศไทย ดัชนีภาคการผลิตของไทยเดือนตุลาคมซึ่งจัดทำโดย S&P ออกมาที่ระดับ 56.6 สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปี 2023 และอยู่ในโซนขยายตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันทิศทางเริ่มดี แต่ ตัวเลข GDP ของไทยประจำไตรมาส 3/68 ออกมาขยายตัวเพียง 1.2% YoY และหดตัว 0.6% QoQ แย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันกลับมีสัญญาณบวกอื่นจากประมาณการรอบใหม่ของสภาพัฒน์ฯ อาทิเช่น มีการปรับเพิ่มประมาณการการลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน มีการปรับเพิ่มประมาณการการบริโภคภาคเอกชนขึ้น มีการปรับเพิ่มคาดการณ์การส่งออกปีนี้ขึ้น และมีการปรับเพิ่มประมาณการดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้น เป็นต้น
ภาวะการลงทุนในเดือนธันวาคม ผมมองว่า มีความผันผวนไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ โดยปัจจัยที่กดดันคงเป็นประเด็นเรื่องของการจะปรับลดหรือไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทั้งของ FED ในสหรัฐฯ และ กนง. ของไทย แต่หากผ่านช่วงดังกล่าวไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ภาพการลงทุนทั่วโลกรวมทั้งของประเทศไทยน่าจะเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวเพราะภาพนโยบายการเงินและทิศทางเศรษฐกิจจะเริ่มชัดเจนขึ้น สำหรับผมเองคิดว่าน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทั้ง FED และ กนง. เหตุผลน่าจะรู้กันอยู่แล้วถึงภาพเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งของสหรัฐฯ ก็มาจากผลกรรมของ Reciprocal tariff ส่วนประเทศไทยรอบนี้จะยกเหตุเรื่องภาวะอุทกภัยด้วยก็ยิ่งมีน้ำหนัก ดังนั้น ไม่ว่าลดดอกเบี้ยตอนนี้ หรือ ไปลดดอกเบี้ยตามหลัง ยังไงก็ต้องลดครับ







