“ตลาดหุ้นไทย” วันนี้ (2 ธ.ค. 2568) ปิดบวก 1.01 จุด พักฐานรอ FED-กนง.

"ตลาดหุ้นไทย" ในวันนี้ (2 ธ.ค. 2568) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,277.58 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.01 จุด หรือคิดเป็น 0.08% นักวิเคราะห์ชี้มีสาเหตุมาจากการพักฐานรอสัญญาณจาก FED และ กนง.
ภาพรวมดัชนีฯ ตลาดหุ้นไทย วันนี้ทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,279.35 จุด และจุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,267.84 จุด และมีมูลค่าซื้อขาย รวม 36,422.92 ล้านบาท
หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- BBL ราคาปิด 162.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 1.57% มูลค่าซื้อขาย 2,375.62 ล้านบาท
- KBANK ราคาปิด 190.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 0.53% มูลค่าซื้อขาย 2,206.98 ล้านบาท
- KTB ราคาปิด 28.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ 3.60% มูลค่าซื้อขาย 1,840.21 ล้านบาท
- PTT ราคาปิด 31.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง หรือ 0.00% มูลค่าซื้อขาย 1,562.31 ล้านบาท
- DELTA ราคาปิด 206.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 0.48% มูลค่าซื้อขาย 1,488.92 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในวันนี้ภาพรวมดัชนีแกว่งตัวไซด์เวย์ออกด้านข้างโดยมีการปรับตัวลงในช่วงเช้าละมีการรีบาวน์กลับขึ้นมาเป็นบวกในช่วงบ่าย โดยเกิดจากการพักฐานรอปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นหลัก เช่น การที่ FED และกนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ธ.ค. ที่จะถึงนี้
ในขณะที่วันพรุ่งนี้ (3 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มเเกว่งตัวไซด์เวย์ออกด้านข้าง อยู่ในกรอบแนวรับ 1,250 จุด แนวต้าน 1300 จุด โดยคาดว่าปริมาณการซื้อขายจะน้อยลงด้วยจนถึงสิ้นปี แต่อาจมีแรงส่งในช่วงสุดท้ายหากการลดดอกเบี้ยเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์ไว้
ด้านกลยุทธ์การลงทุน ผู้ลงทุนควรเน้นกลยุทธ์ซื้อหุ้นรายตัว (Selective Buy) โดยพิจารณาจากเงินปันผลและการประเมินราคา (Valuation) โดยหุ้นที่เน้นการเติบโตควรที่จะมีราคาไม่แพง และมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ต่ำกว่าราคาตลาด (SET) ส่วนหุ้นเน้นปันผลควรให้ปันผลที่สูงกว่าตลาด หรือมากกว่า 4%
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรเลือกหุ้นในกลุ่ม SET 50 และ SET 100 เป็นหลัก เช่น AOT ที่จะได้ผลประโยชน์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว, AMATA ที่รัฐบาลส่งสัญญาณช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนผ่าน “fast-pass” และให้สิทธิประโยชน์ BOIรวมถึงหุ้นในกลุ่มธนาคารและไฟแนนซ์ เช่น SAWAD และ SGC
สำหรับปัจจัยอื่น ๆ นักลงทุนควรจับตาดูผลการประชุมของ กนง. รวมถึงผลการประชุม FED ที่จะถึงนี้ เนื่องจากมีความสำคัญในการประเมินอัตราเร่งของการลดดอกเบี้ยในปีหน้า หากมีการเพิ่มจากสองครั้งเป็นสามครั้ง อาจนับว่าเป็นสัญญาณบวก แต่หากน้อยกว่าสองครั้งก็อาจมองว่าเป็นสัญญาณลบได้เช่นกัน





