โบรกไทยสู้ศึก ทุนต่างชาติ รุกดึง บริษัท-นักลงทุน ออกนอกตลาดในปท.

สมรภูมิ “ตลาดทุนไทย” ปี 2568 ยังคงซบเซา สะท้อนภาพ วอลุ่ม ในตลาดหุ้นไทยอยู่ “ระดับต่ำ” ดังนั้น โบรกเกอร์ ส่วนใหญ่มีผลประกอบการอ่อนแอลง ต้องปรับกระบวน “ทัพใหม่”
KEY
POINTS
- โบรกเกอร์ไทยเผชิญภาวะซบเซาและผลประกอบการอ่อนแอ สวนทางกับโบรกเกอร์ต่างชาติที่มองเห็นศักยภาพจากฐานนักลงทุนไทยกว่า 3 ล้านบัญชีและเตรียมรุกเข้าสู่ตลาด
- มีความกังวลว่าโบรกเกอร์ต่างชาติอาจดึงทั้งบริษัทไทยไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ และชักจูงนักลงทุนไทยให้ออกไปลงทุนนอกประเทศ ซึ่งเป็นความท้าทายต่อตลาดทุนไทย
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) เตรียมปรับปรุงเกณฑ์และลดขั้นตอนการทำ IPO ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและป้องกันไม่ให้บริษัทไทยย้ายไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ
สมรภูมิ “ตลาดทุนไทย” ปี 2568 สถานการณ์ยังคงซบเซา สะท้อนภาพ “มูลค่าซื้อขาย” (วอลุ่ม) ในตลาดหุ้นไทยอยู่ “ระดับต่ำ” ดังนั้น “ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์” (โบรกเกอร์) โดยส่วนใหญ่มีผลประกอบการอ่อนแอลง ต้องปรับกระบวน “ทัพใหม่” จากสภาพการแข่งขันรุนแรง ส่อผลประกอบการ “ขาดทุน-ลดพนักงาน”
สวนทาง “โบรกเกอร์ต่างชาติ” ส่งสัญญาณมองตลาดหุ้นไทย “น่าสนใจ” หลังศักยภาพฐานนักลงทุนไทย “3 ล้านบัญชียังแอคทีฟ (Active) ติดอับดับโลก” บ่งชี้ผ่านหลายโบรกต่างชาติประกาศปักธงแย่งชิง “ส่วนแบงก์การตลาด” (มาร์เก็ตแชร์)
“ชลเดช เขมะรัตนา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ วีบูลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มองทิศทางธุรกิจโบรกฯ ว่า แม้ภาพรวมตลาดหุ้นไทยจะมี “ความท้าทาย” แต่ไทยยังคงเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงใน “สายตาต่างชาติ” โดยเฉพาะฐานนักลงทุนกว่า 3 ล้านบัญชี ที่มีความตื่นตัว (Active) ติดอันดับต้น ๆ ใน 14 ประเทศของโลก มีความสนใจในการเรียนรู้และใช้เครื่องมือการลงทุนใหม่ ๆ
“เราไม่ใช่โบรกต่างชาติรายเดียว ปีหน้าจะมีโบรกเกอร์ต่างชาติเข้ามาอีกมาก เพราะเขามองเห็นโอกาสจากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ที่แข็งแกร่งและปันผลดี โดยมองว่าการเข้ามาครั้งนี้คือ โอกาสในการนำเสนอนวัตกรรมเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการอยู่รอดท่ามกลางภาวะกำไรกลุ่มโบรกเกอร์ลดลง”
ขณะที่ บล.วีบูลล์ เป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเทรดออนไลน์ แตกต่างจากธุรกิจโบรกเกอร์ทั่วไป เมื่อมีจำนวนบัญชีถึงระดับหนึ่ง เช่น 300,000-400,000 บัญชี คุ้มค่าที่จะลงทุนสมัครสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ฯ และพัฒนาระบบเพื่อรองรับหุ้นไทย ซึ่งช่วยลดต้นทุนส่วนเพิ่มในการบริการลูกค้า
“ปฏิเสธิไม่ได้ว่าปีนี้มีธุรกิจโบรกเกอร์กว่าครึ่งกำไรลดลง จากปัจจัยบรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยไม่ดีนัก แต่เรามองว่า ในธุรกิจโบรกเกอร์ เป็นการแข่งขันด้านนวัตกรรมและประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการบริการลูกค้า ต้องปรับตัวกัน และเป็นโอกาสของเรา”
“สมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะประธานชมรมวาณิชธนกิจ (Investment Banking : IB) กล่าวว่า ในปีนี้ธุรกิจโบรกเกอร์หลายแห่งกำลังประสบภาวะ “ขาดทุน” เป็นผลจาก “การแข่งขัน”และ “ภาวะตลาดที่ไม่ดี” ซึ่งเริ่มเห็นผลกระทบต่อธุรกิจโบรกเกอร์ เพื่อปรับตัวให้ “อยู่รอด” ทั้งจาก “การควบรวมกิจการ” และ “การลดพนักงาน” รวมถึงยังคงมีความท้าทายต่อเนื่องในปีหน้า จากโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ คาดว่าจะเข้ามาในปีหน้า ซึ่งมีความเป็นห่วงว่า อาจดึงทั้งอุปทาน (บริษัทไทยไป IPO ต่างประเทศ) และอุปสงค์ (นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ) ออกไปจากตลาดทุนไทย
อย่างไรก็ตาม เรามองว่าในช่วงเวลานี้ ธุรกิจโบรกเกอร์ต้องปรับตัวสู่ “ยุค Digital Disruption” จำเป็นต้องปรับตัวอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงของแพลตฟอร์ม พฤติกรรมผู้บริโภค และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และหากแนวโน้มปีหน้าเซนทริเมนต์ตลาดหุ้นไทย “ยังไม่ดีขึ้น” จาก “ปัจจัยการเมืองในประเทศ” รวมถึงปัจจัยทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” ยังคงเป็นทิศทางลบ ดังนั้น สถานการณ์ของธุรกิจโบรกเกอร์ก็ “ยังคงยากลำบาก” ต่อไป
“การแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในตลาดทุนไทยให้กลับมามีเสน่ห์อีกครั้ง แม้ไม่มีไทม์ไลน์ที่ชัดเจนสำหรับการปรับแก้เกณฑ์ต่างๆ แต่ทางเฟทโก้ จะรับไปประสานงานและหารือกับ ก.ล.ต. เพื่อนำเสนอ Pain Point และแนวทางแก้ไขโดยเร็วที่สุดมองต้องร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต. และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันทำงานเพื่อสร้างความน่าสนใจและรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยไว้ต่อไป”
“อัสสเดช คงสิริ” กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า สำหรับการแข่งขันจากตลาดทุนต่างประเทศ มองว่า ตลาดต่างประเทศบางแห่ง (เช่น ฮ่องกง) กำลัง “ดึงดูด” บริษัทไทยให้ไปจดทะเบียน ยกตัวตัวอย่าง บริษัท น้ำมะพร้าวแห่งหนึ่งซึ่งมีรายได้ 90% มาจากประเทศจีน ซึ่งไปดำเนินการจดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง
กรณีนี้ เรามองเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผล แต่ก็ได้มีการตั้งข้อสังเกตเช่นกัน พบว่า ขั้นตอนการเข้าตลาดของบริษัทเหล่านี้ตลาดหุ้นฮ่องกง ทำได้อย่างรวดเร็วมาก ดังนั้น ตลท. ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกัน และกำลังวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการ และสนับสนุนบริษัทไทยไม่ให้เสียโอกาส
ขณะนี้ ทีมงานของทาง ตลท. กำลังพูดคุยกับหลายบริษัทที่อาจมีแนวคิดอยากออกไปจดทะเบียนนอกประเทศ เพื่อทำความเข้าใจถึงอุปสรรคและเหตุผลที่แท้จริงในการตัดสินใจของบริษัทเหล่านี้ เพื่อนำมาการปรับปรุงเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งทาง ตลท. กำลังพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์และกระบวนการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดึงดูดบริษัทจดทะเบียน และป้องกันบริษัทไทยย้ายไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ และสนับสนุนการระดมทุนในอนาคต
โดยวางเป้าหมาย ลดระยะเวลาในการจดทะเบียน โดย “ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อนักลงทุน” ซึ่งปัจจุบันขั้นตอนการจดทะเบียนอาจใช้เวลาประมาณ 120 วัน โดยที่ ตลท. กำลังพิจารณานำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในกระบวนการและข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
รวมถึง การกระจายความรับผิดชอบ อาจมีการพิจารณาผลักดันความรับผิดชอบไปยังผู้ตรวจสอบและที่ปรึกษากฎหมายให้มากขึ้น และการปรับแก้เกณฑ์สำหรับ “ธุรกิจเศรษฐกิจใหม่” (New Economy) และบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI IPO) ซึ่งเกณฑ์ปัจจุบัน บริษัทต้องมี “กำไรติดต่อกันอย่างน้อย 3 ปีก่อนจดทะเบียน”
นอกจากนี้ ตลท. มีข้อเสนอแนะว่า สำหรับบริษัทที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI ซึ่งอาจใช้เวลาในการสร้างโรงงานหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ก่อนทำกำไร และ ตลท. กำลังพิจารณาว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนเกณฑ์กำไร เพื่อให้บริษัทเหล่านี้เข้าตลาดได้เร็วขึ้นหรือไม่ เน้นไปที่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) แต่ยังมีข้อสังเกต เกณฑ์ที่มีอยู่เดิมสำหรับกลุ่มธุรกิจบางประเภท (เช่น Deep Tech) อาจไม่เหมาะสม ทำให้ไม่มีผู้ใช้ ดังนั้น ตลท. จึงต้องกลับไปพิจารณาว่าเกิดจากไม่มีธุรกิจประเภทนั้น หรือเพราะเกณฑ์ไม่ถูกต้อง
“เราคงจะต้องมีการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็น กับผู้ประกอบการเพื่อสอบถามความต้องการและหาวิธีดึงดูดให้มาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย”







