หุ้นไทยเช้านี้เปิดบวก 6.77 จุด โบรกเผยยังแกว่งตัวไซด์เวย์ ท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจและการเมือง

หุ้นไทยเช้านี้เปิดบวก 6.77 จุด โบรกเผยยังแกว่งตัวไซด์เวย์  ท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจและการเมือง

ตลาดหุ้นไทยเปิดภาคเช้าปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.77 จุด อยู่ที่ระดับ 1,259.48 จุด นักวิเคราะห์มองว่าตลาดยังคงเคลื่อนไหวไซด์เวย์ หลังขาดปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน ตลาดเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ที่อาจกระทบการท่องเที่ยว และมูลค่าการซื้อขายที่ซบเซา ความไม่แน่นอนทางการเมือง เสี่ยงอภิปรายไม่ไว้วางใจ และความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภา

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นไทยเปิดภาคเช้าปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.77 จุด อยู่ที่ระดับ 1,259.48 จุด
  • นักวิเคราะห์มองว่าตลาดยังคงเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน และตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการ
  • ตลาดเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ที่อาจกระทบการท่องเที่ยว และมูลค่าการซื้อขายที่ซบเซา
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นอีกปัจจัยที่ถ่วงบรรยากาศการลงทุน ทั้งความเสี่ยงเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และความเป็นไปได้ที่จะมีการยุบสภา

ความเคลื่อนไหว "หุ้นไทย" ภาคเช้า ณ วันที่ 28 พ.ย.68 เปิดตลาดปรับเพิ่มขึ้น 6.77 จุด หรือ 0.54% อยู่ที่ 1,259.48 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1,335.74 ล้านบาท

หุ้นไทยเช้านี้เปิดบวก 6.77 จุด โบรกเผยยังแกว่งตัวไซด์เวย์  ท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจและการเมือง

อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล. ทิสโก้ ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นไทยเช้าวันนี้ (28 พ.ย.2568) ยังคงเคลื่อนไหวไซด์เวย์แบบซึม ๆ  เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน หลังตลาดสหรัฐฯ ปิดทำการเมื่อคืนนี้ (27 พ.ย.2568) ทำให้ไร้ทั้งทิศทางตลาดและตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่จะมีผลต่อการลงทุน

โดยมูลค่าการซื้อขายในตลาดยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวานนี้ (27 พ.ย.2568) มีมูลค่าซื้อขายเพียง 23,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำสุดของปี  ถือว่าสะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่ซบเซาอย่างมาก

ทั้งนี้ สัญญาณเทคนิคอ่อนแรง นักลงทุนอาจรอซื้อบริเวณ 1,220–1,230 จุด ซึ่งด้านเทคนิค ดัชนี SET เมื่อวานนี้ปิดต่ำกว่าระดับ 1,260 จุด และในวันนี้ยังตรงกับวันสิ้นเดือนที่เป็นช่วงสิ้นสัปดาห์ด้วย ซึ่งนักลงทุนโดยมากจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ขณะที่แนวรับสำคัญอย่าง 1,300-1,280 จุดถูกทะลุลงมาทีละระดับ

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำช่วงนี้ “Wait and See” เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงว่าตลาดอาจหลุด 1,250 จุด โดยมองว่าโซน 1,220–1,230 จุด เป็นระดับที่เหมาะสำหรับการทยอยสะสมมากกว่า

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ น้ำท่วมภาคใต้ เริ่มคลี่คลาย แต่ผลกระทบและการฟื้นฟูยังต้องใช้เวลา ความเสียหายครั้งนี้อาจฉุดภาคท่องเที่ยวช่วงไฮซีซั่นปลายปี ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญ ซึ่งหากนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากมาเลเซีย ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้เสี่ยงต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากปัจจัยเศรษฐกิจแล้ว ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ตั้งแต่ความเสี่ยงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปจนถึงความเป็นไปได้ของการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ดังนั้นปัจจัยการเมืองจึงเพิ่มแรงกดดัน ทำให้ตลาดรอความชัดเจน ซึ่งในเดือนหน้าจึงเป็นช่วงเวลาที่ตลาดต้องจับตาความชัดเจนทางการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยปัจจัยดังกล่าวยังคงเป็นตัวถ่วงบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้น

วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอเรเตอร์ เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นทั่วโลกตอบรับโมเมนตัมบวกจากโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯในเดือน ธ.ค. ที่ปรับขึ้นสูงกว่าระดับ 80% ไปในระดับหนึ่งแล้ว จึงทำให้ในช่วงท้ายตลาดอาจเริ่มเห็นการทรงตัว หรือการขายทำกำไรในระยะสั้นได้ 

ทั้งนี้ ดัชนีหุ้นไทยยังมีความกังวลต่อปัจจัยในประเทศ เช่น น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ ซึ่งอาจกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น ทำให้ SET ยังค่อนข้างอ่อนแอกว่าดัชนีภูมิภาค และล่าสุดหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ 1260 จุด ดังนั้นอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังต่อการลงทุนมากยิ่งขึ้น โดยกลยุทธ์อาจต่อรองราคา เน้นย่อตั้งรับหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไรเติบโตดี Valuation ไม่แพง และถ้ามีการจ่ายปันผลสูง จะเพิ่มความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

ส่วนด้านราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อย ก่อนการประชุม OPEC+ ในช่วงสุดสัปดาห์ โดยตลาดคาดหวังการปรับเพิ่มกำลังการผลิตเดือน ธ.ค. เล็กน้อย แต่จะเริ่มคงกำลังการผลิตในช่วง 1Q26 ซึ่งจะทำให้อุปทานผ่อนคลายลงในช่วงต้นปีหน้า

อย่างไรก็ดียังต้องติดตามการพยายามยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ระบุว่าข้อเสนอของสหรัฐฯ อาจนำมาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับข้อตกลงในอนาคตได้ แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่มีร่างข้อตกลงฉบับสุดท้าย

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ผลประกอบการอยู่ในเกณฑ์ดี โดยคาดแนวโน้ม ไตรมาส 4/68 ยังสามารถเติบโตได้ โดยได้แรงหนุนจากโครงการลมในเยอรมนี และส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ที่มีแนวโน้มเร่งขึ้นต่อเนื่อง q-q จากการรับรู้ต้นทุนคลื่นที่ลดลงเต็มไตรมาส ผสานกับการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรโรงไฟฟ้าใน US ที่มีการปรับค่าความพร้อมจ่ายเร่งขึ้น ราคาเป้าหมาย 60 บาท