พิษ ‘ทุจริตซ้ำซาก’ ฉุดเชื่อมั่น ปล่อย ‘เจ้าของ’ ลอยนวล ทำลาย ‘ตลาดหุ้น’

โบรกเผย วิกฤตศรัทธาจากปัญหาการกำกับดูแลที่ตามไม่ทันปัญหา ส่งผลให้ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นไทยตกต่ำ และมูลค่าการซื้อขายจริงลดลงสู่ระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 20 ปีก่อน ข้อเสนอแนะในการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา คือการลงโทษผู้กระทำผิดให้รวดเร็วและเด็ดขาด รวมถึงการปรับปรุงกลไกการตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
KEY
POINTS
- การทุจริตของผู้บริหารและเจ้าของบริษัทจดทะเบียนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เป็นสาเหตุหลักที่ทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย
- กรณีทุจริตฉ้อโกงที่เกิดขึ้นซ้ำซากในหุ้นหลายตัว เช่น STARK, MORE, IFEC, และ JKN ได้สร้างความเสียหายและสั่นคลอนศรัทธาของนักลงทุน โดยเฉพาะรายย่อยอย่างรุนแรง
- ความล่าช้าในกระบวนการตรวจสอบและดำเนินคดีของหน่วยงานกำกับดูแล ถูกมองว่าเป็นช่องโหว่สำคัญที่ทำให้ผู้กระทำผิดอาจหลบหนีไปได้ และสร้างความเสียหายในวงกว้าง
- วิกฤตศรัทธาจากปัญหาการกำกับดูแลที่ตามไม่ทันปัญหา ส่งผลให้ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นไทยตกต่ำ และมูลค่าการซื้อขายจริงลดลงสู่ระดับใกล้เคียงกับเมื่อ 20 ปีก่อน
- ข้อเสนอแนะในการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา คือการลงโทษผู้กระทำผิดให้รวดเร็วและเด็ดขาด รวมถึงการปรับปรุงกลไกการตรวจสอบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ผู้ก่อตั้งธุรกิจ” หรือเมื่อก้าวเข้ามาเป็น “บริษัทจดทะเบียนไทย” (บจ.) เป็น “ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1” และหลัก ๆ ก็จะนั่งตำแหน่ง “ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร” (ซีอีโอ) คุมบังเหียนองค์กรดังกล่าว ซึ่งบทบาทและความรับผิดชอบคือ “การบริหารจัดการองค์กร” และ “ขับเคลื่อนธุรกิจ” ให้เติบโต แต่เมื่อ “ซีอีโอหรือเจ้าของ” กลับนำบทบาทและหน้าที่มาปฏิบัติเพื่อ “ส่วนตัว” ไม่ใช่เพื่อ “องค์กร” ซึ่งผลพวงตามมาไม่พ้น “ความไม่โปร่งใส่-ทุจริต”
สะท้อนภาพของ “ตลาดทุนไทย” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ต้องเผชิญ “วิกฤติศรัทธา” ของนักลงทุน จากหลากหลายเคสที่ “ผู้บริหารองค์กร” เป็นผู้สร้างความเสียหายซ้ำซากให้กับ “นักลงทุน” จากความไม่โปร่งใสจนลามไปสู่ “คดีความการทุจริต-ฉ้อโกง” หากยกเคสที่ “ผู้คว่ำหวอด” ในตลาดหุ้นต่างขวัญผวาไปตามกันๆ ไล่มาตั้งแต่ บมจ. อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น (IFEC) (ถูกเพิกถอน) บมจ. เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) บมจ. มอร์ รีเทิร์น (MORE) บมจ. สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) บมจ. เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป (JKN) และบมจ. ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG)
สารพัดความไม่โปร่งใส ทำให้นักลงทุนโดยเฉพาะ “รายย่อย” เริ่มหมดศัทรธาลงทุนในหุ้นไทยลงเรื่อยๆ ขณะที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนก็ดูเหมือนจะทำงาน “ล่าช้า” จนปัญหาบานปลายและสร้างความเสียหาย “มหาศาล” และขยายวงกว้างกระทบ “ผู้ถือหุ้น-ภาพลักษณ์” ของตลาดหุ้นไทยลงเรื่อย ๆ
“วิจิตร อารยะพิศิษฐ” นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ลิเบอเรเตอร์ ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กระแสข่าวความไม่โปร่งใสในตลาดหุ้นไทยที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะ “รายย่อยถูกสั่นคลอน” อย่างหนัก ซึ่งยอมรับว่าเหตุการณ์ทุจริตและข้อผิดปกติที่ปรากฏตามหน้าสื่อเป็น “ปัจจัยลต่อภาพลักษณ์” และ “ความเชื่อถือ” ในตลาดทุนไทย
ยิ่งเฉพาะเคสของ “หุ้น STARK” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นหุ้นที่ได้รับความเชื่อมั่นสูง มีบทวิเคราะห์สนับสนุนจากหลายสถาบันทั้งในและต่างประเทศ ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเชื่อมั่นในพื้นฐาน แต่สุดท้ายต้องถูกกล่าวโทษเป็น “ฉ้อโกง” และผลประกอบการ “พลิกขาดทุน”
รองลงมาคือ “หุ้น MORE” ซึ่งเป็นหุ้นที่มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามา “เก็งกำไร” จำนวนมาก แม้ผลประกอบการไม่ได้โดดเด่น กรณี “หุ้น IFEC” และ “หุ้นEARTH” ซึ่งสร้าง “ความเสียหาย” ทั้งในหุ้นและหุ้นกู้
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้น... หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำกับดูแล อย่าง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ค่อยมาดำเนินการทำให้ “ผู้เกี่ยวข้องหรือทำความผิด” อาจหลบหนีไปก่อน เนื่องจากกระบวนการตรวจสอบต้องใช้เวลานาน
สำหรับคำแนะนำนักลงทุนวิธีคัดกรองและตรวจสอบหุ้นด้วยตัวเอง อย่าเชื่อเพียงงบกำไรขาดทุนในบางกรณีตัวเลขอาจถูกตกแต่ง โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินงานต่างประเทศซึ่งตรวจสอบได้ยาก นอกจากนี้ควรเปรียบเทียบกับเทรนด์อุตสาหกรรมถ้าบริษัทมีกำไรดีผิดปกติ เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งอุตสาหกรรม ควรตั้งคำถามทันที
“สุวัฒน์ สินสาฎก” กรรมการผู้จัดการ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเผชิญวิกฤติศรัทธา จาก “การทุจริต” และ “ปัญหาความโปร่งใส” ที่เกิดซ้ำ แม้มีหน่วยงานกำกับดูแล แต่ระบบตรวจสอบยังล่าช้า ทำให้นักลงทุนจำนวนมากเริ่มขาดความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างตลาดทุนไทย
ล่าสุด กลับมาเป็นประเด็นสะเทือนตลาดหุ้นระลอกใหม่ กรณี “หุ้น JKN” ซึ่งผู้บริหารคาดว่าอาจจะเดินทางออกนอกประเทศ หรือคดีทุจริตก่อนหน้า อย่าง MORE, IFEC, EARTH และกรณีของ “หมอบุญ วนาสิน” ล้วนสะท้อน “ช่องโหว่สำคัญ” ด้านกำกับดูแลและการลงโทษที่ไล่ตามหลังไม่ทันต่อปัญหา
โดยปัญหาใหญ่ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทรุดลงนักลงทุนไม่มั่นใจในคุณภาพการกำกับของตลาดและหน่วยงานรัฐ ขณะที่มูลค่าซื้อขายแท้จริงหลังหักปริมาณเทรดของระบบอัตโนมัติอยู่เพียง 13,000-14,000 ล้านบาทต่อวัน ใกล้ระดับของตลาดเมื่อกว่า 20 ปีก่อน และหลายบริษัทประสบปัญหาทางธุรกิจ ไม่สามารถเติบโตหรือรักษากำไรได้ในระยะยาว
“หากมีการลงโทษให้เด็ดขาดแบบรวดเร็วและเป็นตัวอย่างเพียง 2-3 กรณี ก็สามารถเรียกศรัทธากลับมาได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงหากนำกองทุนรวม LTF กลับมาจะช่วยให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยโดยตรง เพิ่มสภาพคล่อง และนักลงทุนยังได้ประโยชน์ด้านภาษี”
“อภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในกรณีของ JKN ปัญหาหลักเกิดจากการใช้เงินกู้เข้าซื้อกิจการ Universe แต่รายได้จริงไม่เป็นไปตามแผน จึงเป็นสัญญาณที่นักลงทุนต้องวิเคราะห์ “ความเสี่ยง” เชิงโครงสร้างของธุรกิจ
แม้กระบวนการของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. แม้จะเกิดความล่าช้า แต่ทว่าระบบต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา และกระบวนการยุติธรรมมีขั้นตอนที่ทำให้ใช้เวลา แต่ก็ยอมรับอาจต้องเร่งกลไกปราบปรามให้เร็วขึ้น เช่น เพิ่มอำนาจการบังคับใช้กฎหมายให้ ก.ล.ต. หรือรวมคดีใหญ่ให้มีเจ้าภาพเดียว และกำหนดเส้นตายของการไต่สวน เช่นภายใน 3 ปี ทั้งนี้เพื่อลดความล่าช้าที่นักลงทุนรายย่อยต้องรอผลกระทบเป็นเวลานาน
“การลงโทษผิดคนหรือเร่งรัดเกินไปอาจเป็นความเสียหายที่ใหญ่กว่า ดังนั้นต้องเปิดโอกาสให้ฝ่ายถูกกล่าวหาชี้แจงเต็มสิทธิ แต่ในทางปฏิบัติผู้ถูกสอบสวนก็มีสิทธิใช้เวลาเพื่อต่อสู้คดี จึงทำให้กระบวนการอาจยืดเยื้อ”







