หุ้นไทยปิดเย็นร่วง 1.67 จุด โบรกแนะเน้นหุ้นปันผลลดเสี่ยง มองกรอบสัปดาห์นี้ 1250- 1275 จุด

หุ้นไทยปิดเย็นร่วง 1.67 จุด โบรกแนะเน้นหุ้นปันผลลดเสี่ยง มองกรอบสัปดาห์นี้ 1250- 1275 จุด

ตลาดหุ้นไทย (24 พ.ย.) ปิดทำการที่ 1,252.73 จุด ลดลง 1.67 จุด หรือ 0.13% โบรกระเมินกรอบดัชนีสำหรับช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ไว้ที่ 1,250-1,275 จุด แนะเน้นถือหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง เช่น AMATA, KTB และ CPN และไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นไทยปิดทำการที่ 1,252.73 จุด ลดลง 1.67 จุด หรือ 0.13% โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวระหว่าง 1,252.72 - 1,261.44 จุด
  • บล.กสิกรไทย ประเมินกรอบดัชนีสำหรับช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ไว้ที่ 1,250-1,275 จุด
  • นักวิเคราะห์แนะนำนักลงทุนให้เน้นถือหุ้นปันผลเพื่อลดความเสี่ยง เช่น AMATA, KTB และ CPN และไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทยขณะนี้
  • ปัจจัยลบที่กดดันตลาดมาจากความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ หลังการเลื่อนประกาศตัวเลขจ้างงาน และการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนไทย
  • ปัจจัยที่ต้องจับตาในเดือนธ.ค. คือเม็ดเงินจากกองทุนลดหย่อนภาษีที่คาดว่าจะไหลเข้า 5,000-10,000 ล้านบาท และประเด็นการเมืองเรื่องการยุบสภา

หุ้นไทยวันนี้ (24 พ.ย.) ปิดตอนเย็นอยู่ที่ 1,252.73 จุด ลดลง 1.67 จุด หรือ 0.13% ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,261.44 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,252.72 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 41,791.28 ล้านบาท
 

หุ้นไทยปิดเย็นร่วง 1.67 จุด โบรกแนะเน้นหุ้นปันผลลดเสี่ยง มองกรอบสัปดาห์นี้ 1250- 1275 จุด

หุ้นไทยวันนี้ ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

1. DELTA ราคาปิด 199.50 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 0.75% มูลค่าซื้อขาย 3,569.46 ล้านบาท

2. ADVANC ราคาปิด 311.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ 0.32% มูลค่าซื้อขาย 2,579.30 ล้านบาท

3. PTT ราคาปิด 30.25 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 2,301.80 ล้านบาท

4. KBANK ราคาปิด 188.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ 0.80%  มูลค่าซื้อขาย 2,290.60 ล้านบาท

5. SCB ราคาปิด 129.00 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ 1.15% มูลค่าซื้อขาย 1,720.11 ล้านบาท

สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า กรอบดัชนีหุ้นไทยสำหรับช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้อยู่ที่ 1,250-1,275 จุด โดยสิ่งที่นักลงทุนควรจับตาคือ ในเดือนธันวาคม มี 2 ประเด็นหลัก

1.จากเม็ดเงินของนักลงทุนที่เข้าซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนทางภาษีโดยคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 5,000–10,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ESGX ที่เคยเข้า 7,000 ล้านบาทในช่วงกลางปีที่ผ่านมา

และ 2.ต้องติดตามการยุบสภาจะอยู่ในกรอบเดือนธันวาคม 2568 หรือเดือนมกราคม 2569 รวมถึงสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญคือ งบประมาณสำหรับโครงการคนละครึ่ง เฟส 2 ซึ่งอาจจะต้องเข้า ครม. หรือได้รับการอนุมัติก่อนที่จะมีการยุบสภา เพื่อให้ทันการใช้งานในเดือนมกราคม 2569 เนื่องจากเม็ดเงินโครงการนี้มีหลายหมื่นล้านบาท และได้รับผลตอบรับที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

สำหรับคำแนะนำนักลงทุนที่มีหุ้นไทยอยู่แล้วให้ตั้งรับ และเน้นที่หุ้นปันผล เช่น AMATA KTB และ CPN ที่มีกระแสเงินสดมั่นคง และไม่แนะนำให้เพิ่มความเสี่ยงหรือเพิ่มน้ำหนักสำหรับหุ้นไทยในขณะนี้

ขณะที่ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยรวมถึงตลาดหุ้นโลก ปรับลดลงมาราว 3-5% ซึ่งมาจากปัจจัยสำคัญมาจากความไม่แน่นอนของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่มีการรายงานตัวเลขภาคการจ้างงานในสหรัฐอเมริกาได้ถูกเลื่อนไปเป็นวันที่ 16 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นวันหลังจากกำหนดการประชุม FOMC ที่อยู่ในช่วงประมาณวันที่ 11 ธันวาคม 2568 การเลื่อนดังกล่าวทำให้ตลาดมีความกังวลว่าคณะกรรมการเฟดจะไม่เห็นตัวเลขภาคการจ้างงาน จึงอาจไม่กล้าที่จะให้ความเห็นในการลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้น้ำหนักของการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมลดลงอย่างมาก จากเดิม 100% เหลือประมาณ 50% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาด 

โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี มีการปรับฐาน ซึ่งตลาดต่างประเทศมีความกังวลเกี่ยวกับประเด็น AI Bubble แต่มองว่าอาจยังไม่ถึงขั้นเป็นฟองสบู่ และการรายงานผลประกอบการของไตรมาส 3/68 พบว่า มีเพียงกลุ่มธนาคาร และกลุ่ม ICT เท่านั้นที่ทำผลงานได้ดี สำหรับกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มค้าปลีก กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มโรงพยาบาล และหุ้นขนาดเล็ก ส่วนใหญ่อาจออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้

"มีการปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ลงมา จากเดิมประมาณ 89.5 บาท  เหลือ 88 บาท เมื่อคำนวณด้วย P/E ที่ 14 เท่า คิดเป็นประมาณ 30 จุดที่หายไปจากดัชนี และการปรับลดลงของหุ้น DELTA ประมาณ 20 บาท ส่งผลให้ดัชนีหายไปประมาณ 20 จุดเช่นกัน"