บลจ.เอ็มเอฟซี โฟกัสหุ้นไทยปี 69 ‘ฟื้นตัวต่อ-ปันผลสูง‘ แข็งแกร่ง

บลจ.เอ็มเอฟซี โฟกัสหุ้นไทยปี 69  ‘ฟื้นตัวต่อ-ปันผลสูง‘ แข็งแกร่ง

บลจ.เอ็มเอฟซี มองแนวโน้มหุ้นไทยปี 69 ฟื้นตัวต่อ พร้อมเปิดตัว "กองทุนM-HD” เพิ่มทางเลือกลงทุน "หุ้นปันผลไทย" รับผลตอบแทนระยะยาว เปิดขาย IPO 21-27 พ.ย 68

KEY

POINTS

  • บลจ.เอ็มเอฟซีคาดการณ์ว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2569 จะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับปัจจัยหนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่และแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ย
  • หุ้นกลุ่มปันผลสูงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากมูลค่าหุ้นหลายตัวยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับสูงเฉลี่ย 5-6%
  • เอ็มเอฟซีได้เสนอขายกองทุนเปิด M-HD ที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มดัชนี SET High Dividend 30 (SETHD) ซึ่งมีประวัติการจ่ายปันผลดีและสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าดัชนี SET ในอดีต

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2569 คาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้น   การบริโภค การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และโครงการช่วยเหลือประชาชน เช่น โครงการพักหนี้ ลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก อาทิ ความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่อาจดำเนินนโยบายการเงินเข้มงวดกว่าที่คาดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีน  ซึ่งอาจกดดันกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและความเชื่อมั่นในสินทรัพย์เสี่ยง

"ตลาดหุ้นไทยปรับฐานไปในระดับหนึ่งแล้ว เพื่อสะท้อนปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนภายใน เช่น การลงทุนจากภาครัฐ การบริโภคภาคเอกชน การลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในทิศทางที่ดีขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยบวกช่วยประคับประคองภาพรวมของตลาดให้ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลางถึงยาว" 

สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นในปี 2569  ได้แก่

1.การเลือกตั้งในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะไม่เกินไตรมาส 2 ส่งผลให้เกิดความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจช่วยเสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย

2.แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยคลายแรงกดดันต่อตลาดการเงินโลก และเอื้อต่อกระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทย

3.การลดดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์และพลังงานที่อยู่ในระดับทรงตัวหรือลดลง ช่วยลดต้นทุนของภาคธุรกิจ

 4.มูลค่าหุ้นของหลายบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูง 

พร้อมกันนี้ บลจ.เอ็มเอฟซี นำเสนอ "กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี เซ็ท ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน" หรือ "M-HD"  มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจะพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีผลตอบแทนรวม SET High Dividend 30 (SETHD TRI) เป็นหลัก โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV เปิดเสนอขาย IPO ครั้งแรกระหว่างวันที่ 21-27พ.ย. 68 เงินลงทุนครั้งแรกขั้นต่ำ 1,000 บาท 

​สำหรับดัชนี SETHD TRI รวบรวมหุ้นไทยที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง 30 บริษัท ซึ่งมีเกณฑ์คัดเลือกที่สำคัญ โดยต้องเป็นหุ้นในดัชนี SET100 มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง 3 ปีและมีอัตราการจ่ายเงินปันผลไม่เกิน 100%   ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับรายชื่อหุ้นในดัชนี SETHD ทุกๆ 6 เดือน (มิ.ย.และธ.ค.) ทั้งนี้ อุตสาหกรรมหลักของหุ้น ที่อยู่ในดัชนี SETHD ได้แก่ กลุ่มธนาคาร มีสัดส่วนสูงถึง 55% ของน้ำหนักรวมทั้งหมดในดัชนี รองลงมากลุ่มพลังงาน 24% กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 8% กลุ่มพาณิชย์ 4% และกลุ่มอาหาร 4% (ข้อมูล ณ 31 ต.ค. 68)

​"จุดเด่นของกองทุน M-HD จะคัดเลือกหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลดีและสม่ำเสมอจากหุ้น 30 บริษัท บนดัชนี SETHD เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันมูลค่าหุ้นของหลายบริษัทยังอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังอยู่ในระดับเฉลี่ย 5-6% ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุน      ในระยะกลางถึงยาว" 

​นอกจากนี้ความน่าสนใจของหุ้นปันผลสามารถสร้างผลตอบแทนโดดเด่นกว่าดัชนี SET Index โดยในช่วง   5 ปีที่ผ่านมา (พ.ย. 63 – พ.ย. 68) ดัชนี SETHD ปรับตัวเพิ่มขึ้น 25.48% ในขณะที่ดัชนี SET ลดลง 3.34%  และหากพิจารณาผลตอบแทนย้อนหลังเป็นรายปีเมื่อเทียบดัชนี SETHDTRI กับดัชนี SET TRI (ผลตอบแทนรวมเงินปันผล) พบว่า SETHD TRI ในปี 2567 ให้ผลตอบแทนสูงถึง 8.44% ขณะที่ดัชนี SET TRI ผลตอบแทน 2.33% ,ปี 2566 ดัชนี SETHD TRI ให้ผลตอบแทน -1.94% ขณะที่ SET TRI ติดลบมากถึง -12.66%, ปี 2565 ดัชนี SETHD TRI ให้ผลตอบแทน 7.37% ขณะที่ SET ผลตอบแทน 3.53% เป็นต้น