CPF กำไรQ 3/68 ที่ 5.1 พันล้าน 9 เดือนแรกพุ่ง 57 % ได้รับผลดีจากบริหารต้นทุน-ราคากากถั่วเหลืองลดลง

CPF  กำไรQ 3/68  ที่ 5.1 พันล้าน 9 เดือนแรกพุ่ง 57 %  ได้รับผลดีจากบริหารต้นทุน-ราคากากถั่วเหลืองลดลง

CPF รายงาน Q3/68 กำไรลดลง 29 % ที่ 5,186 ล้านบาท ขณะที่รอบ 9 เดือน กำไร 24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 57% จากประสิทธิภาพบริหารต้นทุน -ราคากากถั่วเหลืองลดลง พร้อมปรับกลยุทธ์รับความท้าทายของเศรษฐกิจ

       บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ของบริษัทและบริษัทย่อย (รวมเรียกว่า “บริษัท”) ดังนี้

       1. บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 138,565 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการแปลงค่าของงบการเงินกิจการต่างประเทศจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หากไม่นับรวมผลกระทบดังกล่าว รายไดัจากการขายจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้จากการขายนี้ แบ่งเป็นส่วนของกิจการต่างประเทศร้อยละ 61 และกิจการในประเทศไทยร้อยละ 39 (ประกอบด้วยการขายในประเทศไทยร้อยละ 33 และการส่งออกร้อยละ 6)

       2. กําไรขั้นต้นที่ 22,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4 จากงวดเดียวกันของปีก่อน อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15.4 ของไตรมาส 3 ปี2567 เป็นร้อยละ 16.5 จากการบรหิารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และราคากากถั่วเหลืองโลกที่ลดลงจากปีก่อน  ประกอบกับการให้ความสําคัญกับ มาตรฐานความปลอดภัยในการผลิตและการป้องกันโรคระบาดอย่างเข้มงวด

       3. กําไรสุทธิในส่วนของบริษัทจํานวน 5,186 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี2567 จำนวน 7,309 ล้านบาท ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

      3.1 การเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพมีผลขาดทุนที่ 1,115 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงจากไตรมาส 3 ปี 2567 ที่มีผลกําไร 733 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสุกรในประเทศเวียดนามและประเทศไทย

      3.2 ส่วนได้ในกําไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าจํานวน 2,463 ล้านบาท ลดลงร้อยละ33 โดยหลักมาจากผลการดำเนินงานที่ลดลงของบริษัทร่วมในประเทศจีนจากปัญหาราคาสุกรตกต่ำ และผลกระทบจากการลดลงของมูลค่ายุติธรรมของสุกร เป็นหลัก

         นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปัจจุบันยอดขายของบริษัทมาจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนยอดขายจากกิจการในต่างประเทศประมาณ 62% และมีการส่งออกไปต่างประเทศอีกจำนวน 5% นับรวมประมาณ 2 ใน 3 ของยอดขายที่มาจากต่างประเทศที่บริษัทมีการลงทุนและร่วมลงทุนรวม 16 ประเทศ มีการค้าระหว่างประเทศที่จำหน่ายในร้านค้าปลีกค้าส่งชั้นนำในอีกมากกว่า 50 ประเทศ   

              CPF  กำไรQ 3/68  ที่ 5.1 พันล้าน 9 เดือนแรกพุ่ง 57 %  ได้รับผลดีจากบริหารต้นทุน-ราคากากถั่วเหลืองลดลง                

        ทั้งนี้ ยอดขาย 9 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่  430,335 ล้านบาท ซึ่งหากไม่รวมผลจากการแปลงค่าของงบการเงินของกิจการต่างประเทศจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น บริษัทฯ จะมียอดขายเติบโตประมาณ 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปีนี้ที่ 24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 57% จากการบริหารด้านประสิทธิภาพการดำเนินการตลอดห่วงโซ่อุปทาน และการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิผล รวมถึง ต้นทุนที่ลดลงจากราคากากถั่วเหลืองในหลายประเทศทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 
         นายประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่มีปัจจัยหลากหลายประการกระทบการดำเนินงาน ทั้งเรื่องโรคระบาดในการเลี้ยงสัตว์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ  มาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา  กำลังซื้อที่ยังไม่ดีขึ้นในหลายประเทศ บริษัทฯจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ระมัดระวังการลงทุน พยายามปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป            

       สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีรายได้จากการขาย 138,565 ล้านบาท หากไม่นับรวมผลกระทบจากการแปลงค่าเงิน รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น 2 %  จากงวดเดียวกันของปีก่อน มีอัตรากำไรขั้นต้น 16.5% ดีขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 15.4% จากการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และราคากากถั่วเหลืองโลกที่ลดลง

         อย่างไรก็ตามด้วยมาตรฐานการบันทึกบัญชีเรื่องการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ของสุกรมีผลขาดทุนที่ 1,115 ล้านบาท และส่วนได้ในกำไรของบริษัทร่วมและการร่วมค้าจำนวน 2,463 ล้านบาท ที่ลดลง 33% ทำให้กำไรสุทธิในไตรมาส 3  อยู่ที่  5,186 ล้านบาท ลดลง 29% จากปีก่อน             
          
         นายประสิทธิ์ ยังได้กล่าวถึง แนวโน้มของธุรกิจว่าด้วยสถานการณ์โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต รวมถึงสถานการณ์โลกร้อนที่เห็นผลกระทบชัดเจน ณ ปัจจุบัน บริษัทจึงให้ความสำคัญเรื่องการบริหารความเสี่ยง การสร้างความสามารถในการแข่งขันในทุกประเทศ พร้อมต่อยอดการลงทุนในประเทศที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น ฟิลิปปินส์และเวียดนาม