TIDLOR กำไร Q3/68 พุ่ง 43% ทำนิวไฮ คุม NPL เหลือ 1.66% ต่ำสุดในอุตสาหกรรม

TIDLOR ไตรมาส 3/68 กำไรพุ่ง 43% ทำนิวไฮ คุม NPL เหลือ 1.66% ต่ำสุดในอุตสาหกรรม มีฐานเงินทุนแข็งแกร่ง พร้อมสร้างการเติบโตเคียงข้างคนไทย
KEY
POINTS
- TIDLOR รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 1,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดใหม่รายไตรมาส
- สามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL Ratio) ปรับลดลงมาอยู่ที่ 1.66% ซึ่งถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม
- การเติบโตของกำไรได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อและรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ประกอบกับค่าใช้จ่ายรวมที่ลดลง 4.9% (YoY) โดยมีสาเหตุหลักจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิต
- คุณภาพหนี้ที่ดีเป็นผลมาจากการอนุมัติสินเชื่ออย่างรอบคอบ การติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพของสินทรัพย์ที่ปล่อยใหม่อยู่ในเกณฑ์ดี ส่งผลให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิต (Credit Cost) ลดลงเหลือ 2.2% จาก 3.9% ในปีก่อนหน้า
นางสาวชลธิชา ทองไทย ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายบัญชีและการเงิน หรือ CFO บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR เปิดเผย ผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.0% (YoY) และ 8.5% (QoQ) ถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ในรอบไตรมาส โดยมีรายได้รวม 5,927.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% (YoY) จากการขยายตัวของพอร์ตสินเชื่อรวม และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 4,157.1 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 4.9% (YoY) โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิต
ด้านการดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันภัยในไตรมาส 3 ปี 2568 มีเบี้ยประกันวินาศภัย รวม 2,607.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.7% (YoY) เติบโตสูงกว่าภาพรวมของอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยที่ช่วงเดือน 8 เดือนแรกยังคงติดลบ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยปัจจัยการเติบโตมาจากการมีผลิตภัณฑ์และช่องทางการขายที่ครอบคลุม โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีนายหน้าประกันภัย (InsurTech Platform) ผ่าน 3 แบรนด์นายหน้าประกันหลักอย่าง ประกันติดโล่, อารีเกเตอร์ และเฮ้กู๊ดดี้ ที่ช่วยขยายฐานลูกค้า ช่วยเติมเต็มช่องว่างทางการตลาดในทุกกลุ่มเป้าหมาย จึงกล่าวได้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยยังคงเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของกลุ่มบริษัท
ธุรกิจสินเชื่อ กลุ่มบริษัท มีพอร์ตสินเชื่อคงค้างรวม 107,324.2 ล้านบาท เติบโต 4.5% (YoY) และ 1.3% (QoQ) จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของพอร์ตสินเชื่อทะเบียนรถ ขณะที่จำนวนลูกค้าสินเชื่อเพิ่มขึ้น 9.6% (YoY) สะท้อนถึงนโยบายการขยายธุรกิจสินเชื่อที่รัดกุมและมีคุณภาพ โดยการเติบโตมาจากทั้งช่องทางสาขามากกว่า 1,800 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ และมาจากการใช้เทคโนโลยีด้านการเงิน อาทิ “บัตรติดล้อ” บัตรกดเงินสดหมุนเวียนที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถกดเงินสดตามวงเงินสินเชื่อทะเบียนรถของตนเองได้สะดวกผ่านตู้ ATM ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำทั่วประเทศ และบริการ “โอนเงินสินเชื่อเข้าบัญชีผ่านแอปพลิเคชันเงินติดล้อ” ที่ปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ คุณภาพสินทรัพย์ ยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดี อัตราสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL Ratio) ปรับลดลง มาอยู่ที่ 1.66% จากเดิม 1.78% ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการอนุมัติสินเชื่ออย่างรอบคอบ และคุณภาพสินทรัพย์ที่ปล่อยใหม่คงอยู่ในระดับที่ดี รวมถึงการติดตามหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ และโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ของภาครัฐที่เข้ามาช่วยสนับสนุน ขณะที่อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Coverage Ratio) ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 283.9% สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนช่วยให้อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อ (Credit Cost) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 2.2% จาก 3.9% ในช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าอีกด้วย
สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 3,924.5 เพิ่มขึ้น 23.2% (YoY) จากการขยายตัวของรายได้รวม 5.7% (YoY) การบริหารคุณภาพสินเชื่อที่มีประสิทธิภาพ และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทยังคงมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งและสภาพคล่องที่มั่นคง รองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว พร้อมการกระจายรายได้จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย ทั้งนี้ และยังคงมุ่งเน้นขับเคลื่อนองค์กรสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ทั้งนี้ สถานะทางการเงินแกร่ง ขับเคลื่อนสร้างการเติบโตให้ธุรกิจพร้อมเคียงข้างคนไทย
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ทีมผู้บริหารยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่องให้กลุ่ม Tidlor Holdings จากสองเครื่องยนต์หลักคือ “ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ” และ “ธุรกิจนายหน้าประกัน” โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีทางการเงิน และแพลตฟอร์มนายหน้าประกัน (InsurTech Platform) เป็นหลักสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตและสร้างรายได้ให้กับกลุ่มบริษัท
ทั้งนี้ ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบันยังมีความไม่แน่นอน ส่งผลถึงรายได้ของประชาชนบางกลุ่มที่อาจจะไม่คงที่ กระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อในระบบอยู่ในภาวะตึงตัวอาจทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งไม่สามารถปล่อยกู้ได้ตามปกติ แต่ด้วยการมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของกลุ่มบริษัท การมีสภาพคล่อง และมีงบฐานะการเงินที่ดี (Balance Sheet)







