NASDAQ ปิดสัปดาห์ร่วงลงหนักสุด นับตั้งแต่เดือนเมษายน

NASDAQ ปิดสัปดาห์ร่วงลงหนักสุด นับตั้งแต่เดือนเมษายน

ดัชนี NASDAQ ปิดตลาดวันศุกร์ปรับตัวลดลง เนื่องจากหุ้นในกลุ่มเอไอ ยังคงเผชิญแรงกดดันและส่งผลให้สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน

ซีเอ็นบีซี รายงานดัชนีแนสแด็กคอมโพสิต Nasdaq Composite ปิดตลาดวันศุกร์ (7 พ.ย.68) ด้วยการปรับตัวลดลง เนื่องจากหุ้นในกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังคงเผชิญแรงกดดันและส่งผลให้สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ร่วงลงมากที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน สถานการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัวจากข้อมูลใหม่ที่ประกาศออกมา

Nasdaq ซึ่งเน้น หุ้นเทคโนโลยี ปรับลดลง 0.21% ปิดที่ 23,004.54 จุด ขณะที่ S&P 500 และ ดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average กลับฟื้นตัวเล็กน้อยและปิดในแดนบวก โดย S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.13% ปิดที่ 6,728.80 จุด และ Dow เพิ่มขึ้น 74.80 จุด หรือ 0.16% ปิดที่ 46,987.10 จุด

ในการซื้อขายระหว่างวัน Nasdaq ลดลงถึง 2.1% ส่วน S&P 500 และ Dow ลดลงสูงสุด 1.3% และกว่า 400 จุด หรือประมาณ 0.9% ตามลำดับ

ตลาดหุ้น กลับมาฟื้นตัวบางส่วนหลังจากผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา ชัค ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครต ได้ยื่นข้อเสนอใหม่ให้กับฝ่ายรีพับลิกันเพื่อยุติการปิดรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อ โดยมีเงื่อนไขให้เงินงบประมาณระยะสั้นแลกกับการขยายเวลาสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามกฎหมายประกันสุขภาพราคาประหยัด (Affordable Care Act) หรือโอบามาแคร์ อีกหนึ่งปี

ความกังวลเรื่องความแข็งแกร่งของ เศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงการปิดรัฐบาล จากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนเมื่อวันศุกร์ พบว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเข้าใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และเมื่อวันก่อน บริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas รายงานภาวะการเลิกจ้างทั่วประเทศว่า การปลดพนักงานในเดือนตุลาคมสูงที่สุดในรอบ 22 ปี

ในช่วงการปิดทำการของรัฐบาล หรือภาวะชัตดาวน์ นักลงทุนแทบไม่ได้รับข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ ๆ เพราะหน่วยงานรัฐหยุดทำงาน โดยตามกำหนดเดิม สำนักงานสถิติแรงงาน จะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ แต่ไม่สามารถเผยแพร่ได้เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน นักเศรษฐศาสตร์ที่บริษัทสื่อดาวโจนส์ สำรวจความคาดว่าตัวเลขจ้างงานจะลดลง 60,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5%

วุฒิสภาสหรัฐฯ เตรียมลงมติในวันศุกร์เพื่อพิจารณางบประมาณชั่วคราวที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนฯ การขาดเงินงบประมาณของรัฐบาลกลางที่ยาวนานที่สุดสร้างความเสี่ยงต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงทำให้เกิดปัญหาการเดินทางเนื่องจากขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ซึ่งต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่เดือนตุลาคม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ฌอน ดัฟฟี  เปิดเผยเมื่อวันพุธว่าจะลดเที่ยวบินลง 10% ที่สนามบินหลัก 40 แห่งตั้งแต่วันศุกร์ ซึ่งอาจกระทบเที่ยวบิน 3,500 ถึง 4,000 เที่ยวต่อวัน โดยเช้าวันศุกร์มีเที่ยวบินในสหรัฐฯ ถูกยกเลิกไปแล้วกว่า 700 เที่ยว

ลีอาห์ เบนเน็ตต์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ Concurrent Asset Management ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี ว่า “ไม่มีใครชอบความมืดมน เราอยู่ในช่วงไม่มีข้อมูลจากรัฐบาลมาสักพักแล้ว และการขาดข้อมูลน่าจะส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนมากขึ้น” พร้อมเสริมว่า “ผมคิดว่านั่นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทำไมมูลค่าหุ้นควรจะลดลงอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อยก็ในระยะสั้น” 

ดัชนีหุ้นสามตัวหลักปิดในแดนลบสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความกังวลเรื่องการประเมินมูลค่าสูงในกลุ่มเทคโนโลยีและตลาดที่มีความกระจุกตัวสูง โดย Nasdaq ร่วงลงประมาณ 3% ในสัปดาห์นี้ นับเป็นผลงานแย่ที่สุดในรอบห้าวันตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่เคยร่วงถึง 10% ส่วน S&P 500 และ Dow ต่างลดลงมากกว่า 1% ในช่วงเดียวกัน

หุ้น AI ชั้นนำที่อ่อนแรงวันศุกร์ ได้แก่ Oracle ลดลงเกือบ 2% รวมสัปดาห์นี้ร่วงลงประมาณ 9% เช่นเดียวกับ AMD ลดลงเกือบ 9% และ Broadcom ลดลงมากกว่า 5% ในสัปดาห์นี้

ผู้นำ AI รายใหญ่ทั้ง Nvidia, AMD, Tesla และ Microsoft ต่างปรับลดลงอย่างเห็นได้ชัดในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กดดันตลาดในวงกว้าง โดย Nasdaq Composite ลดลง 1.9% และ Dow ลดลงเกือบ 400 จุด

เบนเน็ตต์ กล่าวว่า “คุณได้เห็นการสลับกลุ่มหุ้นบ้าง ซึ่งเป็นประโยชน์กับหุ้นคุณค่า (Value Stocks) และนั่นนำไปสู่ความเชื่อของฉันว่าการเทขายหุ้นครั้งนี้ในกลุ่มเจ็ดนางฟ้า ‘Magnificent Seven’ ไม่ได้น่ากังวลเกินไป” พร้อมเสริมว่า “การใช้จ่ายด้าน AI ยังคงมีอยู่”

เธอกล่าวต่อว่า “ฉันคิดว่าแรงซื้อหุ้น AI ที่เกิดขึ้นนี้จะกลับมาอีก มันยากที่จะบอกจุดสูงสุด แต่ฉันไม่คิดว่าเรากำลังจะถึงจุดจบของมัน”