หุ้นไทยเช้านี้ลบ 5.53 จุด ร่วงตามตลาดหุ้นโลก โบรกแนะนำถือเงินสดเพิ่ม

ตลาดหุ้นไทยภาคเช้าปรับตัวลดลง 5.53 จุด (0.42%) มาอยู่ที่ระดับ 1,307.78 จุด โบรกเผย ร่วงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริ่มปรับฐานลงปัจจัยกดดันหลักมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 32 สัปดาห์ และข้อมูลการเลิกจ้างงานในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ แนะนักลงทุนเพิ่มการถือครองเงินสดในพอร์ตประมาณ 20-30% เพื่อรับมือกับความผันผวน
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นไทยภาคเช้าปรับตัวลดลง 5.53 จุด (0.42%) มาอยู่ที่ระดับ 1,307.78 จุด ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่เริ่มปรับฐานลง
- ปัจจัยกดดันหลักมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 32 สัปดาห์ และข้อมูลการเลิกจ้างงานในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้เกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ
- นักวิเคราะห์จาก บล.เอเชีย พลัส แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มการถือครองเงินสดในพอร์ตประมาณ 20-30% เพื่อรับมือกับความผันผวน
- แนวโน้มสัปดาห์หน้าคาดว่าดัชนีจะยังคงปรับตัวลงต่อ โดยมีโอกาสหลุดระดับ 1,300 จุด และมีปัจจัยเสี่ยงในประเทศเรื่องการยุบสภาที่ต้องติดตาม
- คำแนะนำการลงทุนเน้นให้เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น KLINIQ, WHA, TRUE และหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการจะดีอย่าง SPRC
ความเคลื่อนไหว "หุ้นไทย" ภาคเช้า ณ 7 พ.ย. 2568 ปรับลง 5.53 จุด หรือ 0.42% หรืออยู่ที่ 1,307.78 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5,740.78 ล้านบาท
ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ดัชนีหุ้นไทยมีการย่อตัวและปรับฐานลงมา โดยเป็นการเคลื่อนไหวไปตามภาพรวมของตลาดหุ้นโลกที่เริ่มส่งสัญญาณกดดัน เนื่องจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้เริ่มทยอยปรับฐานลงมาแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการปรับตัวขึ้นกันมาอย่างรุนแรง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ได้ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบ 32 สัปดาห์ และยังมีโอกาสที่จะเห็นการย่อตัวลงต่อในวันนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียในช่วงเช้าก็เริ่มทยอยปรับฐานลงมาเช่นกัน ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะเห็นการย่อตัวตามภาพของตลาดหุ้นโลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตลาดหุ้นไทย การปรับตัวขึ้นที่ผ่านมาเป็นการปรับขึ้นแบบจำกัด โดยเน้นไปที่เพียงไม่กี่กลุ่ม ซึ่งในปีนี้หุ้นไทยที่ปรับขึ้นมามีเพียง 3 กลุ่มหลักเท่านั้น จากทั้งหมด 27 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มธนาคาร และ กลุ่ม ICT และปัจจุบันก็ยังคงเน้นอยู่ใน 3 กลุ่มนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อหุ้นโลกถูกเทขายทำกำไรลงมา โดยเฉพาะกลุ่มที่อิงตามโลกอย่างเทคโนโลยีก็มีโอกาสที่จะถูก take profit ลงมาได้เช่นกัน
นอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว ยังมีประเด็นในประเทศที่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด จากความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการยุบสภา หากเกิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้น อาจมีความเสี่ยงที่จะเห็นเรื่องของการยุบสภากลับมาอีกครั้ง ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจเป็นลบในระยะถัดไปได้
สำหรับ แนวโน้มดัชนีหุ้นไทย โดยรวมยังคงปรับตัวลงต่อไปในสัปดาห์หน้า มีโอกาสที่ดัชนีจะหลุดระดับ 1,300 จุดได้ โดยมีแนวรับถัดไปอยู่ที่ประมาณ 1,280 จุด ตามตลาดหุ้นโลกมีโอกาสที่จะมีความผันผวนมากขึ้น
โดยแนะนำนักลงทุนในภาวะตลาดเช่นนี้ควรเพิ่มการถือครองเงินสดในพอร์ตประมาณ 20-30% ส่วนการเลือกลงทุนในหุ้นควรเน้นไปที่หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวเป็นหลัก เพื่อให้สามารถทำผลงานได้ดีกว่าตลาด ซึ่งหุ้นที่คาดว่าจะสามารถทำผลงานได้ดีกว่าตลาดได้แก่ KLINIQ เนื่องจากวันนี้เริ่มมีการขยับปรับดัชนีเข้าสู่ SET 100 จากตลาด MAI ส่วน WHA เป็นหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์หากประเด็นสงครามทางการค้ามีโอกาสผ่อนคลาย และ TRUE เป็นหุ้นที่แข็งแกร่ง และยังได้กลับมาจ่ายปันผลอีกครั้ง
วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอร์เรเตอร์ เปิดเผยว่า ข้อมูลภาคแรงงานสหรัฐฯจาก Challenger ระบุว่า นายจ้างสหรัฐฯ มีการประกาศเลิกจ้างงานในเดือน ตุลาคม สูงถึง 153.074 ตำแหน่ง +175%y-y โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้าง เช่น กลุ่มเทคโนโลยี, คลังสินค้า และโลจิสติกส์ ซึ่งสาเหตุหลักที่เลิกจ้าง มาจากการลดต้นทุน, การนำ AI มาใช้ปรับโครงสร้าง คุมค่าใช่จ่าย และผลกระทบจากการชะลอการจ้างงานช่วง Shutdown ของภาครัฐฯ
จากความเสี่ยงด้านแรงงานที่เกิดขึ้น กระตุ้นความกังวลต่อภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วงถัดไป ทำให้วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯมีแรงเทขายเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ดีหากประเมินในทิศทางของดอกเบี้ยนโยบายในช่วงถัดไป ก็อาจจะเป็นแรงกระตุ้นโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ โดยล่าสุด หากพิจารณาจากเครื่องมือ FED Watch Tool บ่งชี้ว่าตลาดคาดหวังการลดดอกเบี้ยเดือน ธ.ค. นี้ เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 70%
ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กลับมาชะลอตัว -7bps สู่ระดับ 4.08% และ Dollar Index กลับมาต่ำกว่าระดับ 100 อีกครั้ง
ด้านปัจจัยในประเทศยังเน้นจับตาการรายงานงบของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ทำให้ราคาหุ้นรายตัวมีการผันผวนค่อนข้างมากในระยะสั้น ดังนั้นยังเน้นสะสมหุ้นที่คาดหวังผลประกอบการดี และมี Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ
SPRC คาดกำไร ไตรมาส 3/68 จะพลิกมาเป็นบวก จากในช่วงไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/67 ที่ขาดทุนราว -812 ล้านบาท และ -2,216 ล้านบาท ตามลำดับ แรงหนุนจากค่าการกลั่นฟื้นตัว และคาดจะบวกต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/68 ด้าน Valuation ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยเทรดเพียง PBV ราว 0.5 เท่า อยู่ในระดับน่าสะสม ราคาเป้าหมาย 6.00 บาท







