ดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 400 จุด แนสแด็กร่วงแรง 1.9% ตลาดเทขายหุ้นเอไอ

ดาวโจนส์ปิดตลาดลดลงเกือบ 400 จุด แนสแด็กร่วง 1.9% วันพฤหัสบดี ขณะที่หุ้น AI กลับมาปรับตัวลดลงอีกครั้ง จากความกังวลราคาหุ้นแพงมากเกินไป
ซีเอ็นบีซี รายงาน หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงในวันพฤหัสบดี ( 6 พ.ย.68) เนื่องจากบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากกระแสการซื้อขายปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอีกครั้ง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าสูงที่น่าตกใจของบริษัทเหล่านี้
ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ลดลง 398.70 จุด หรือ 0.84% ปิดที่ 46,912.30 จุด
ดัชนี S&P 500 ร่วงลง 1.12% ปิดที่ 6,720.32 จุด
ขณะที่ดัชนีแนสแด็ก Nasdaq Composite ร่วงลงแรง 1.9% ปิดที่ 23,053.99 จุด ดัชนี Nasdaq 100
ร่วงลงมากกว่า 2% นับตั้งแต่ปิดตลาดวันศุกร์ที่ผ่านมา และกำลังอยู่ในสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน
หุ้นเอไอผันผวนต่อเนื่อง
ผลกระทบด้านลบที่ใหญ่ที่สุดมาจาก Nvidia, Microsoft, Palantir Technologies, Broadcom และ Advanced Micro Devices
หุ้น AI มีความผันผวนตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนและแนวโน้มดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในวันพฤหัสบดี ราคาหุ้น Qualcomm
ร่วงลงเกือบ 4% หลังจากที่ผู้ผลิตชิปรายนี้ประกาศผลประกอบการรายไตรมาสที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ระบุว่าอาจสูญเสียธุรกิจในอนาคตกับ Apple
ส่วน AMD ซึ่งเป็นบริษัทที่โดดเด่นในวันพุธ กลับมาร่วงลง 7% ขณะที่ Palantir และ Oracleร่วงลงเกือบ 7% และ 3% ตามลำดับ หุ้นขวัญใจนักลงทุนสาย AI อย่าง Nvidia และ Meta Platforms หนึ่งในกลุ่มหุ้นเจ็ดนางฟ้า “Magnificent Seven” ก็ร่วงลงเช่นกัน
ไมค์ มุสซิโอ ประธานบริษัท FBB Capital Partners ให้ความเห็นว่า “ปัจจัยสำคัญคือเรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นที่สูงลิ่วจนอยู่ในจุดที่ ‘สมบูรณ์แบบ’ ส่งผลให้ตลาดมีความแตกต่างระหว่างบริษัทที่สามารถทำกำไรและปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้น กับบริษัทที่แม้จะมีรายได้สูงแต่แนวโน้มผลประกอบการหรือกำไรไม่โดดเด่น ผลลัพธ์คือ หุ้นบางตัวปรับกำไรขึ้นเป็นเลขสองหลัก ขณะที่บางตัวปรับลดลงเลขสองหลัก แทบไม่มีหุ้นที่อยู่ตรงกลาง”
เลิกจ้างงานพุ่งสูง
แรงกดดันตลาดในวันพฤหัสบดีเพิ่มขึ้นจากข่าวเรื่องตลาดแรงงานที่อ่อนแอ เนื่องจากเดือนตุลาคมมีการประกาศเลิกจ้างงานจำนวนมาก ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Challenger, Gray & Christmas ระบุว่ามีประกาศเลิกจ้างงานในเดือนนี้มีมากกว่า 153,000 ตำแหน่ง ซึ่งสูงกว่าอัตราของเดือนกันยายนเกือบสามเท่า และสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนถึง 175% นับเป็นระดับสูงสุดที่บันทึกไว้ในเดือนตุลาคมในรอบ 22 ปี และเป็นปีที่มีแนวโน้มว่าจะมีการเลิกจ้างที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009
ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขาดรายงานเศรษฐกิจจากรัฐบาลกลางที่ยังคงปิดทำการมากว่าหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นการปิดทำการที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
มุสซิโอกล่าวเพิ่มเติมว่า “เราเริ่มเห็นข้อมูลเศรษฐกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ซึ่งก็ไม่ได้สดใสเท่าไรนัก และทั้งหมดนี้กำลังสร้างเงื่อนไขให้ตลาดอ่อนแอมากขึ้น” อย่างไรก็ตาม เขามองว่าสถานการณ์นี้ไม่ได้หมายความว่าตลาดจะเข้าสู่ขาลงอย่างรุนแรง หากรัฐบาลเปิดทำการอีกครั้ง และข้อมูลหลังจากนั้นแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมีแรงซื้อในช่วงเทศกาล ส่งผลให้ตลาดอาจกลับมาฟื้นตัวช่วงสิ้นปีแบบปกติ
ทั้งสามดัชนีหลักของสหรัฐฯ อยู่ในแดนลบอย่างชัดเจนในสัปดาห์นี้ โดย ณ วันพฤหัสบดี ดาวโจนส์ลดลง 1.4% ขณะที่ S&P 500 ลดลง 1.8% และแนสแด็กลดลง 2.8% สำหรับสัปดาห์นี้
นักลงทุนยังจับตาความเคลื่อนไหวในกรุงวอชิงตัน หลังจากศาลฎีกาสหรัฐรับฟังข้อโต้แย้งเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากร ของรัฐบาลทรัมป์ ในการไต่สวนเมื่อวันพุธ ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ตั้งคำถามถึงความถูกต้องตามกฎหมายของมาตรการภาษีดังกล่าว ซึ่งทำให้นักลงทุนหลายรายคาดการณ์ว่าคำตัดสินจะออกมาในทางไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษี







