ตลท.ส่งสัญญาณบวกปลายปี ลุ้นเงินเข้า ThaiESG รับสิทธิ์ภาษี

ตลท.ส่งสัญญาณบวกปลายปี ลุ้นเงินเข้า ThaiESG รับสิทธิ์ภาษี

ตลท.จับสัญญาณบวกโค้งสุดท้ายปี ลุ้นเงินไหลเข้า “กองทุน ThaiESG รับสิทธิ์ภาษี -ต่างชาติเริ่มชะลอขายหุ้น“ เฝ้าระวังความเสี่ยง “เฟดลดดบ.-มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย”

KEY

POINTS

  • ตลท. คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยช่วงปลายปีมีแนวโน้มเป็นบวก โดยมีปัจจัยหนุนจากเม็ดเงินที่จะไหลเข้ากองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
  • มีเม็ดเงินจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดและยังคงค้างอยู่กว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญที่อาจโยกย้ายเข้าสู่กองทุน ThaiESG
  • แม้ภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ แต่ปริมาณการขายในเดือนตุลาคมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อตลาด

ตลาดหลักทรัพย์ไทยเดือนตุลาคม 2568 ด้วยสัญญาณบวก โดยดัชนี SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 1,309.50 จุด อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปี ดัชนียังคงลดลง 6.5% สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกและการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ

กลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่นในปีนี้ ได้แก่ กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการเงิน ซึ่งสามารถปรับตัวได้ดีกว่า SET Index สะท้อนความเชื่อมั่นในธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตในระยะยาว

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันของตลาด SET และ mai อยู่ที่ 39,473 ล้านบาท ลดลง 27.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ค่าเฉลี่ย 10 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 42,659 ล้านบาท

นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนตุลาคมมีการขายสุทธิ 4,496 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 100,739 ล้านบาท แม้จะขายออก แต่ยังคงครองสัดส่วนการซื้อขายสูงสุดที่ 51.81% ตามด้วยนักลงทุนรายย่อยในประเทศ 31.80% นักลงทุนสถาบัน 9.77% และบริษัทหลักทรัพย์ 6.62%

ตลท.ส่งสัญญาณบวกปลายปี ลุ้นเงินเข้า ThaiESG รับสิทธิ์ภาษี

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือปีนี้ ยังมีปัจจัยหนุน ทั้งจากเม็ดเงินทุนไหลเข้ามาในกองทุนรวม ThaiESG เพื่อรับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี  เราประเมินว่า นักลงทุนจะตัดสินใจขึ้นกับเซนต์ทริเม้นท์ตลาด โดยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาในทิศทางที่ดี จากความผันผวนต่างๆ มีภาพชัดเจนขึ้น  

ในปีที่ผ่านมา กองทุนรวม ThaiESG  มีเม็ดเงินใหม่ราว 4,000 ล้านบาท และเม็ดเงินรับโอนย้ายจากกองทุน LTF ราว 25,000 ล้านบาท  ขณะที่ในปีนี้มีเม็ดเงินกองทุน LTF ครบกำหนด 280,000 ล้านบาท  และตั้งแต่ต้นปีมานี้ ทยอยขายออกไปเกินครึ่ง ทำให้ปัจจุบันมีคงค้างอยู่ราว 100,000 กว่าล้านบาท ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป เพราะต้องยอมรับว่า ช่วง2เดือนที่เหลือปีนี้ ยังมีความเสี่ยงอยู่  โดยเฉพาะ รอดูเฟดลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. และผลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

แต่อย่างไรก็ตาม  นายอัสสเดช  มองว่า  ตลาดหุ้นไทย ต้องกลับมาพิจารณาที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ต้องรอการเติบโตทั้งการลงทุนและเศรษฐกิจของไทย  หากมีการเติบโตชัดเจน จะส่งผลให้  เม็ดเงินลงต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะกลับมาด้วยเช่นกัน  

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) นักลงทุนต่างชาติยังเป็นการขายสุทธิ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจากขายออกไปมากช่วงต้นปี ที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่เดือนต.ค.นี้ ต่างชาติขายเพียง 4,000 ล้านบาท มองว่า  ค่อนข้างน้อยแล้ว 

แต่ก็ยังมองว่าในช่วงที่ฟันด์โฟลว์กลับมาหุ้นไทยก่อนหน้านี้ มาจากการปรับพอร์ตของต่างชาติ สะท้อนต่างชาติเลือกลงทุน ธุรกิจยังมีการเติบโตได้เดินหน้าต่อได้ท่ามกลางความผันผวนและการเมืองในประเทศ คงต้องมองเป็นรายธุรกิจ คงมองภาพใหญ่ได้ ซึ่งถือว่า หุ้นไทย ยังเป็นที่พักเงิน หรือ หลบภัย ได้เช่นกัน 

พร้อมกันนี้  ตลท.ยังเดินหน้ามาตรการสร้างเน่ห์ตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะโครงการ “ Jump+” จะเป็นกลไกเร่งการเติบโตธุรกิจไทยต้นปีหน้า ปัจจุบันมีลงทะเบียนแล้ว  84 บริษัท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากปีหน้าบริษัทเหล่านี้มีแผนธุรกิจที่ชัดเจนแล้ว กลไกนี้อาจเป็น “วิธีเดียว” ที่ช่วยให้ธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

รวมถึง โครงการ “BOI to IPO” กับแนวทางใหม่ในการผลักดันธุรกิจต่างชาติสู่ตลาดทุนไทย แนวคิดนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและต้องใช้เวลาในการสร้างความสมดุลระหว่างการส่งเสริมธุรกิจใหม่กับการรักษามาตรฐานตลาดทุนไทย ทำให้ปีนี้อาจยังไม่ทัน แต่ถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับอนาคต  

ส่วนแนวทางปรับเกณฑ์ใหม่ ต้องมีกำไรหรือไม่นั้น นานยอัสสเดช  กล่าวว่า  เดิมทีเกณฑ์การพิจารณาเน้นที่ “บริษัทคุณภาพ” ซึ่งต้องมีผลกำไรแล้วเท่านั้น แต่ในแนวทางใหม่ BOI กำลังพิจารณาปรับดีไซน์เกณฑ์ให้ยืดหยุ่นขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่บริษัทแม่มีความมั่นคงและมีศักยภาพสูง อาจไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทลูกมีกำไรก่อน จึงจะสามารถเข้าสู่กระบวนการ IPO ได้ ในส่วนนี้คงต้องมีการศึกษาให้มีความเหมาะสมมากที่สุด  

“การตัดสินในลงทุนของธุรกิจ มีขั้นตอนและปัจจัยต่างต้องพิจารณา  เราคงเร่งไม่ได้  และเราไม่ต้องการให้มีแต่บริษัทที่เข้ามาสร้างภาพแล้วไม่มีคุณภาพ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตลาดทุนไทย“