รู้จัก 4 เครื่องมือลงทุนทรงพลังในยุคตลาดผันผวน

รู้จัก 4 เครื่องมือลงทุนทรงพลังในยุคตลาดผันผวน

เครื่องมือทั้ง 4 ประเภท ได้เข้ามาเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนสามารถจัดกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทุกสภาวะตลาด อย่างไรก็ตาม ทุกเครื่องมือมีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยง นักลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน

KEY

POINTS

  • Leverage & Inverse ETF (L/I ETF): กองทุนที่สร้างผลตอบแทนรายวันเป็นทวีคูณ (Leverage) หรือตรงกันข้าม (Inverse) กับดัชนีอ้างอิง ช่วยให้นักลงทุนทำกำไรในตลาดขาลงหรือเพิ่มผลตอบแทนในตลาดขาขึ้นระยะสั้นผ่านบัญชีหุ้นปกติ
  • Options Wizard บน Streaming: เครื่องมือช่วยคัดเลือกกลยุทธ์ Options อัตโนมัติตามการคาดการณ์ตลาดของผู้ลงทุน เพื่อลดความซับซ้อนและช่วยสร้างผลตอบแทนได้หลากหลายสภาวะตลาด
  • DR (Depositary Receipt): ตราสารที่ช่วยให้นักลงทุนไทยสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ต่างประเทศได้สะดวกเหมือนหุ้นไทยผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยสกุลเงินบาท เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังอุตสาหกรรมทั่วโลก
  • USD Futures: สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐต่อเงินบาท ใช้สำหรับป้องกันความเสี่ยงค่าเงินสำหรับผู้ประกอบการหรือนักลงทุน หรือเพื่อเก็งกำไรจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ในภาวะตลาดทุนที่ผันผวนสูงและเชื่อมโยงกับปัจจัยมหภาคทั่วโลก ในปี 2025 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้พัฒนาเครื่องมือการลงทุนใหม่ เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนและบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ที่น่าสนใจ วันนี้ผมจะขอให้คุณปิติพงษ์ รุ่งเรืองวุฒิกุล CFP® ผู้เชี่ยวชาญในด้านการวางแผนการเงินของบริษัท Wealth Creation International Investment Advisory Security Co., Ltd. จะมาแนะนำ 4 เครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน ดังนี้ครับ

1. Leverage & Inverse ETF (L/I ETF) โดย L/I ETF เป็นกองทุนรวม ETF ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทน “รายวัน” ตามดัชนีอ้างอิง มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่ Leverage ETF: สร้างผลตอบแทนเป็น “ทวีคูณ” ของผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง (เช่น 2x) และ Inverse ETF : สร้างผลตอบแทน “ตรงกันข้าม” กับผลตอบแทนรายวันของดัชนีอ้างอิง (เช่น -1x) ข้อดีและประโยชน์ : นักลงทุนสามารถใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (บัญชีหุ้น) ปกติซื้อขายได้ทันที ไม่ต้องเปิดบัญชีอนุพันธ์ (TFEX) จึงช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทน (Leverage) หรือทำกำไรในตลาดขาลง (Short) และป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ได้อย่างคล่องตัว 

ทั้งนี้ สำหรับการประยุกต์นำ L/I ETF ไปใช้นั้นจะ ใช้เมื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดระยะสั้นได้ชัดเจน เช่น ซื้อ Leverage ETF เมื่อมั่นใจว่าตลาดจะขึ้นแรง หรือซื้อ Inverse ETF เพื่อป้องกันพอร์ตในช่วงตลาดปรับฐาน ทั้งนี้ ข้อสังเกตของ L/I ETF ถูกออกแบบมาเพื่อ การลงทุนระยะสั้น (Tactical Trading) เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการถือครองระยะยาว เนื่องจากผลกระทบของการทบต้นรายวัน (Compounding Effect) ในตลาดผันผวน อาจทำให้ผลตอบแทนระยะยาวเบี่ยงเบนจากดัชนีอ้างอิง 

2. Options Wizard บน Streaming Options เป็นตราสารที่ซับซ้อน SETTRADE จึงพัฒนา “Option Wizard” ซึ่งเป็นฟีเจอร์บน Streaming เพื่อช่วยนักลงทุนคัดเลือกกลยุทธ์ Options อัตโนมัติ ทั้งนี้ Option Wizard มีข้อดีและประโยชน์ในด้าน การลดความซับซ้อน เพียงผู้ใช้งานระบุ : 1. สินทรัพย์อ้างอิง, 2. การคาดการณ์ทิศทางตลาด, 3. ราคาเป้าหมาย, 4. กรอบเวลา ระบบจะประมวลผลและนำเสนอกลยุทธ์ที่สอดคล้อง (เช่น Long Call, Bear Put Spread) พร้อมแสดงจุดคุ้มทุน โดยนักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในการทำผลตอบแทนได้แม้ในตลาดขาลง และสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้นเมื่อเทียบกับขนาดของเงินลงทุน อย่างไรก็ตามข้อสังเกตของ Options Wizard นั้นจะช่วยให้ “การเริ่มต้น” ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ลด “ความเสี่ยง” ของผลิตภัณฑ์ Options ยังคงมีวันหมดอายุ (Time Decay) และมีอัตราทดสูง หากคาดการณ์ผิดพลาด อาจสูญเสียเงินลงทุนเริ่มต้น (ค่า Premium) ทั้งจำนวนได้ครับ 

3. DR (Depositary Receipt) DR หรือ “ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ” เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนไทยลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้ โดย DR จะจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ด้วยสกุลเงินบาท สำหรับข้อดีและประโยชน์ของ DR นั้นจะช่วยในเรื่อง ความสะดวกในการเข้าถึง โดย นักลงทุนสามารถใช้บัญชีซื้อขายหุ้นเดิม ซื้อขายหุ้นระดับโลก (เช่น Apple, Alibaba) ได้เหมือนหุ้นไทย ตัดความยุ่งยากเรื่องการเปิดบัญชีต่างประเทศ และช่วยในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต ไปยังอุตสาหกรรมที่ไม่มีในไทย โดยสามารถเริ่มลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลในส่วนของภาษีจากกำไรในการซื้อขายหุ้นต่างประเทศอีกด้วย 

4. USD Futures USD Futures คือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาด TFEX ที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์สหรัฐต่อเงินบาท (USD/THB) โดยมีขนาดสัญญามาตรฐานที่ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ และซื้อขายโดยใช้การวางหลักประกัน (Margin) โดยข้อดีและประโยชน์ของ USD Futures มีประโยชน์หลัก 2 ด้าน คือ การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) : สำหรับผู้ประกอบการนำเข้า-ส่งออก เพื่อ “ล็อก” อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ช่วยบริหารต้นทุน หรือนักลงทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ในสกุลเงิน USD และต้องการปิดความเสี่ยงในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน และประโยชน์อีกด้านคือ การเก็งกำไร โดยสำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ในสกุลเงิน USD และกังวลว่า เงินบาทจะแข็งค่า ก็จะสามารถ ทำการ เปิดสัญญา Short เพื่อล็อคค่าเงินไว้ก่อนได้ อย่างไรก็ตาม USD Futures เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราทด (Leverage) สูงมาก ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงในการขาดทุนสูงเช่นกัน (อาจเกินเงินหลักประกัน) เหมาะสำหรับผู้ที่เข้าใจปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค และต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม 

สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า เครื่องมือทั้ง 4 ประเภทนี้ ได้เข้ามาเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุนสามารถจัดกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับทุกสภาวะตลาด อย่างไรก็ตาม ทุกเครื่องมือมีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยง นักลงทุนจึงจำเป็นต้องศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนครับ