‘กูรู’ จับตาคดีทรัมป์สะเทือนหุ้น เปิด ‘3 ฉากทัศน์’ ลุ้นศาลฎีกาสหรัฐ 5 พ.ย. ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลก

‘กูรู’ จับตาคดีทรัมป์สะเทือนหุ้น เปิด ‘3 ฉากทัศน์’ ลุ้นศาลฎีกาสหรัฐ 5 พ.ย. ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลก

‘กูรู’จับตาคดีทรัมป์สะเทือนหุ้น เปิด ‘3 ฉากทัศน์’ ลุ้นศาลฎีกาสหรัฐ 5 พ.ย.68 ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลก หากศาลมีคำตัดสินเป็น “บวก” ส่งผลต่อ “ตลาดหุ้น” โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยได้รับผลกระทบจากภาษี

KEY

POINTS

  • ผู้เชี่ยวชาญจับตาการไต่สวนคดีภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยศาลฎีกาสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย.68 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจโลก และตลาดหุ้น
  • มีการคาดการณ์ "3 ฉากทัศน์" หลัก: 1) หากศาลตัดสินว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจเก็บภาษี จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก 2) หากศาลตัดสินว่าทรัมป์มีอำนาจ จะสร้างความกังวล และอาจทำให้หุ้นปรับตัวลงชั่วคราว 3) หากศาลให้สิทธิแบบมีเงื่อนไข (ต้องผ่านสภา) ตลาดจะไม่ตกใจมาก
  • การไต่สวนครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางกฎหมายที่อาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า ทำให้ตลาดโลกยังคงอยู่ในภาวะรอความชัดเจน

ล่าสุด ทั่วโลกกำลังจับตา “การไต่สวนครั้งสำคัญ” ของศาลฎีกาสหรัฐ 5 พ.ย.2568 ซึ่งจะพิจารณาคดีภาษีนำเข้าเกี่ยวข้องกับประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” คดีดังกล่าวถือเป็นหมุดหมายสำคัญกำหนดทิศทางของ “เศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้น” ในระยะต่อไป แม้การไต่สวนครั้งนี้จะยังไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย แต่ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางกฎหมายที่อาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า สอดคล้อง “กูรู” มองสถานการณ์ไว้ “3 ฉากทัศน์” เพื่อรองรับความเป็นไปได้ของคำตัดสิน

‘กูรู’ จับตาคดีทรัมป์สะเทือนหุ้น เปิด ‘3 ฉากทัศน์’ ลุ้นศาลฎีกาสหรัฐ 5 พ.ย. ชี้ชะตาเศรษฐกิจโลก

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า แม้จะมีการเริ่มกระบวนการพิจารณาในเร็วๆ นี้ แต่ผลสรุปที่ชัดเจนอาจต้องรออีกหลายเดือน หรืออาจยืดเยื้อไปถึงปีหน้า เนื่องจากการไต่สวนครั้งนี้ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางกฎหมายเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ได้มองไว้ 3 สถานการณ์หลักที่ตลาดต้องจับตา สถานการณ์ที่ 1 หากศาลตัดสินไม่ให้สิทธิทรัมป์ในการจัดเก็บภาษี กรณีนี้ถือเป็นผลลัพธ์เชิงบวกต่อตลาด เพราะหมายความว่าทรัมป์จะไม่สามารถใช้ดุลยพินิจจัดเก็บภาษีศุลกากรได้โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภา ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นทันที เพราะความเสี่ยงจากสงครามการค้า และสงครามเทคโนโลยีลดลง หุ้นกลุ่มนำเข้าจะได้รับแรงหนุนโดยตรง แต่ทว่าดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่า ขณะที่สกุลเงินในเอเชียอาจแข็งค่าขึ้น แม้ตลาดจะดีใจระยะสั้น แต่ทรัมป์อาจหามาตรการรูปแบบใหม่มากดดันตลาดในภายหลัง

สถานการณ์ที่ 2 หากศาลตัดสินการกระทำของทรัมป์อยู่ในอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย ตลาดอาจเกิดภาวะช็อกระยะสั้น เนื่องจากอำนาจในการขึ้นภาษีจะอยู่ในมือของทรัมป์โดยสมบูรณ์ จะส่งผลให้ดัชนีอาจปรับตัวลดลงชั่วคราวจากความกังวลต่อความตึงเครียดทางการค้า แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงมากนัก เนื่องจากตลาดเริ่มชินกับพฤติกรรมทรัมป์ 

สถานการณ์ที่ 3 หากศาลแทงกั๊กให้สิทธิแบบมีเงื่อนไข หรือเปิดโอกาสให้ทรัมป์สามารถปรับขึ้นภาษีได้ แต่ต้องได้รับการเห็นชอบจากสภาคองเกรสก่อน ซึ่งตลาดไม่น่าตกใจ เนื่องการดำเนินนโยบายต้องผ่านขั้นตอนทางการเมือง แต่ทว่าโอกาสที่นโยบายจะถูกปฏิเสธมีสูง เพราะสมาชิกสภาจำนวนมากมองว่านโยบายภาษีของทรัมป์จะกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในประเทศ

นายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ในมิติทางกฎหมายการพิจารณาคดีดังกล่าวยังมีความซับซ้อน โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การตีความปริมาณของสินค้าหรือภาระภาษีที่เกี่ยวข้องเกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ รวมถึงการพิสูจน์ว่ามีการนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศจริง ซึ่งเป็นรายละเอียดที่อาจต้องใช้เวลาตรวจสอบเพิ่มเติม

โดยมองตลาดหุ้นเอเชียรวมถึงหุ้นไทย ไม่น่าจะได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น เนื่องจากท่าทีศาลที่เน้นการชะลอ และเปิดทางเจรจา ช่วยลดแรงกดดันด้านจิตวิทยาการลงทุน ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด

อย่างไรก็ตาม มองศาลไม่ได้เร่งให้ถึงคำตัดสิน เพราะดูเหมือนทุกฝ่ายต่างต้องการเวลาเพื่อหาทางออกทางการเจรจา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงตลาดจะได้พักหายใจ อย่างน้อยในช่วงปีหน้าน่าจะได้เห็นความชัดเจน

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล นักวิเคราะห์อาวุโส บล.ทิสโก้ กล่าวว่า การไต่สวนดังกล่าวยังไม่ใช่การตัดสินคดี แต่เป็นเพียงการเปิดกระบวนการพิจารณาเบื้องต้น เพื่อกำหนดแนวทางต่อไปว่าจะมีการไต่สวนเพิ่มเติมหรือไม่ หรือศาลจะประกาศวันตัดสินในภายหลัง ซึ่งหมายความว่าตลาดโลกจะยังคงอยู่ในช่วงรอความชัดเจนต่อไป 

หากย้อนไปในอดีตที่ผ่านมา จากลักษณะของคดีทรัมป์เคยแพ้ในสองศาลล่าง และยื่นอุทธรณ์มาถึงศาลฎีกา ทำให้นักลงทุนจำนวนมากซึมซับความเป็นไปได้ไว้แล้วบางส่วน ว่าทรัมป์อาจจะไม่มีอำนาจเต็มที่ในการจัดเก็บหรือลดภาษีนำเข้าได้ตามอำเภอใจ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าทรัมป์จะสู้คดีอย่างเต็มที่ เพราะยังมีเวลาในตำแหน่งอีกเกือบ 2 ปี และอาจพยายามใช้มาตราอื่นๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการดำเนินนโยบายด้านภาษีของตนเอง หากศาลมีคำตัดสินที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่เคยได้รับผลกระทบจากภาษีประเมินว่า ทรัมป์ไม่น่าจะถอนนโยบายกลับทั้งหมด แต่จะค่อยๆ ปรับเชิงกลยุทธ์แทน

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์