‘ไอพีโอ’จุดพลุเก็งกำไรหุ้นไทย ‘3 รายใหญ’ เตือนราคา ‘แพงทุกตัว’ แนะระวังต้องมี ‘วินัยตัดขาดทุน’

‘ไอพีโอ’จุดพลุเก็งกำไรหุ้นไทย ‘3 รายใหญ’ เตือนราคา ‘แพงทุกตัว’ แนะระวังต้องมี ‘วินัยตัดขาดทุน’

‘ไอพีโอ’จุดพลุเก็งกำไรหุ้นไทย ‘3 รายใหญ’ เตือนราคา ‘แพงทุกตัว’ แนะระวังต้องมี ‘วินัยตัดขาดทุน’ 2 หุ้นไอพีโอ ทะยานปิดวันแรก 200% “HANN-SKIN” จุดดึงดูดนักลงทุนเข้าเก็งกำไร

KEY

POINTS

  • หุ้นไอพีโอ (IPO) กลับมาสร้างความร้อนแรงให้ตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะ HANN และ SKIN ที่ราคาปิดวันแรกพุ่งขึ้น 200% กลายเป็นจุดดึงดูดนักลงทุนสายเก็งกำไร
  • นักลงทุนรายใหญ่ 3 ราย ได้แก่ ดร.นิเวศน์, ทิวา ชินธาดาพงศ์ และ สุธน สิงหสิทธางกูร เตือนเป็นเสียงเดียวกันว่า ราคาหุ้นไอพีโอสูงเกินพื้นฐานและ "แพงทุกตัว" ในมุมมองนักลงทุนเน้นคุณค่า (VI)
  • ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าการลงทุนในไอพีโอเป็นการเก็งกำไรสูง นักลงทุนที่ไล่ซื้อบนกระดานจึงต้องมี "วินัย" และตั้ง "จุดตัดขาดทุน" (Stop Loss) ที่ชัดเจน เช่น ขายทันทีเมื่อราคาลดลง 5-10% เพื่อจำกัดความเสี่ยง

เมื่อความ “ร้อนแรง” ของ “หุ้นน้องใหม่” หรือการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ที่ผ่านมาได้พุ่งทะยานเกิน 100% และในบางตัวราคาพุ่งแตะ 200% กลายเป็น “สปอร์ตไลท์” ดึงดูดความสนใจของ “นักลงทุน” หันกลับมามองตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง แม้จะเป็นกระแสของ “แรงเก็งกำไร” แต่ก็สามารถสร้างบรรยากาศการลงทุนให้กลับมา “คึกคัก” 

‘ไอพีโอ’จุดพลุเก็งกำไรหุ้นไทย ‘3 รายใหญ’ เตือนราคา ‘แพงทุกตัว’ แนะระวังต้องมี ‘วินัยตัดขาดทุน’

หลังจากครึ่งปีแรกมีหุ้น IPO เข้าระดมทุนในตลาดเพียง “5 บริษัท” คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,150 ล้านบาท ประกอบด้วย 1. บมจ.โปร อินไซด์ (PIS) 2. บมจ.มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง (MOTHER) 3. บมจ.แอลทีเอ็มเอช (LTMH) 4. บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) และ 5. บมจ.นูทริชั่น โปรเฟส (NUT) ถือว่ามีหุ้นไอพีโอเข้าระดมทุนในตลาดน้อยมากเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา

 

 แต่ครึ่งปีหลังกระแสหุ้น IPO กลับมาเฟื่องฟูครั้งใหม่ ด้วยการ “จุดพลุ” ของ 2 หุ้นใหม่เข้ามาซื้อขายวันแรก (เทรด) ราคาหุ้นวิ่งชนเพดาน 200% เหนือราคาจองซื้อ อย่าง บริษัท โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ HANN ราคาปิดวันแรกที่ 2.12 บาท เพิ่มขึ้น 202.86% จากราคาจองซื้อ 0.70 บาท และ บริษัท สกิน ลาบอราทอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SKIN ราคาปิดวันแรกที่ 3.62 บาท เพิ่มขึ้น 201.67% จากราคาจองซื้อ 1.20 บาท และยังมีหุ้นไอพีโอที่เปิดซื้อขายวันแรกที่พุ่งเกิน 50-100% อย่าง บริษัท 88(ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ 88TH และ บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO

“กรุงเทพธุรกิจ” ถามมุมมอง “นักลงทุนรายใหญ่” ในตลาดหุ้นไทยถึงความร้อนแรงดังกล่าว ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกัน ว่า นักลงทุนควรระวัง หลังราคาหุ้น IPO ที่สูงเกินกว่าพื้นฐานที่แท้จริง พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นใน “การมีวินัย” และ “ตั้งจุดตัดขาดทุน” (Stop Loss) อย่างชัดเจน เนื่องจากหุ้น IPO ส่วนใหญ่ล้วนขับเคลื่อนด้วย “แรงเก็งกำไร”

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” ให้มุมมองว่า หุ้น IPO โดยพื้นฐานแล้วเป็นการ “เก็งกำไร” ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มดังกล่าวล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยการเก็งกำไร และยัง “ขาดข้อมูลพื้นฐานที่แท้จริง” เนื่องจากเป็นหุ้นใหม่ซึ่งนักลงทุนไม่ค่อยรู้ว่าพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทเป็นอย่างไร รวมถึงยังขาดประวัติการดำเนินงานในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มาก่อน ส่งผลให้งบการเงินที่เคยอยู่นอกตลาดอาจไม่เป็นไปตามมาตรฐานตลาดเสมอไป ดังนั้น จึงทำให้ยากต่อการประเมินมูลค่าที่แท้จริง

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเริ่มนิ่ง จึงเอื้อต่อการเก็งกำไร ส่งผลให้ราคาหุ้น IPO ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง แต่ทว่าในช่วงที่ตลาดไม่ดีราคาหุ้น IPO จะขึ้นน้อยลง หรืออาจลดลงหากตลาดลงแรง และหากย้อนไปช่วงก่อนหน้านี้ พบว่าตลาดหุ้นไทย “ย่ำแย่” ลงมาเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่ไม่มีใครต้องการเก็งกำไรเลย ทำให้หุ้นเข้าตลาดมาแล้วก็ลงทันที

“สถานการณ์ปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไปตลาดหุ้นไทยเริ่มเริ่มนิ่งน่าจะใกล้พื้น และมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นไป ทำให้การเก็งกำไรจึงเริ่มกลับมาในระดับหนึ่ง แม้ว่าแรงเก็งกำไรในปัจจุบันยังไม่แรงเท่ากับช่วงที่เคยขึ้นไปถึง 200% ในอดีต”

ทั้งนี้ หุ้น IPO ถือว่าเป็นที่สนใจของนักเก็งกำไร เพราะถือเป็นช่องทางที่มีโอกาสทำกำไรได้สูงถึง 10% หรือมากกว่านั้นภายในวันเดียว โดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กที่เป็นหุ้นที่อยู่ในในกระแสหรือเมกะเทรนด์ และไม่ใช่หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังจะตาย แต่หากเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการกระจายตัวสูง นักเก็งกำไรไม่มีแรงพอที่จะลากราคาให้สูงขึ้น เนื่องจากหากมีกลุ่มนักเก็งกำไรหรือรายใหญ่เข้ามาเล่น จะสามารถดึงราคาหุ้นให้สูงขึ้นไปได้

ขณะที่ ในส่วนของนักลงทุนระยะยาว หรือ “นักลงทุนเน้นคุณค่า” (VI) ไม่ควรซื้อหุ้น IPO เพราะในสายตาของนักลงทุน VI หุ้น IPO นั้น “แพงทุกตัว” และมักจะถูกขายในราคาที่แพงอยู่แล้ว หากราคาถูกผู้ขายก็คงไม่ขาย ซึ่งนักลงทุน VI มักมีหลักการที่ชัดเจนว่า หุ้นแพงจะไม่ซื้อ และไม่สนใจการเก็งกำไร ซึ่งมีความเสี่ยงทั้งจังหวะดีและไม่ดี เนื่องจากข้อมูลและประวัติของบริษัทนั้นสั้นเกินไป และพื้นฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่ VI จะสามารถประเมินราคาได้อย่างมั่นใจและผลตอบแทนตามที่คาดหวังได้

“มี่-ทิวา ชินธาดาพงศ์” นายกสมาคมนักลงทุน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความคึกคักของหุ้น IPO สามารถส่งผลให้ “มูลค่าซื้อขาย” (วอลลุ่ม) ในตลาดโดยรวมค่อย ๆ เพิ่มขึ้น รวมถึงจำนวนนักลงทุนเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็น “ปัจจัยบวก” ต่อภาพรวมของการเก็งกำไร หากย้อนกลับไปในอดีตช่วงที่มีคนเปิดบัญชีมากเป็นประวัติการณ์ในช่วงโควิด-19 ส่วนหนึ่งมาจากการที่หุ้น บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เข้าตลาด เมื่อทุกคนได้รับกำไรจากหุ้นจอง IPO ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตลาดทุนเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

ดังนั้น ปัจจุบันตลาดถูกมองว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ทุกสิ่งที่แย่ที่เคยมีการพูดถึง เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน หรือปัจจัยลบอื่น ๆ ตลาดได้รับรู้และปรับภาพของเก่าไปหมดแล้ว ขณะนี้ตลาดกำลังเฝ้าระวังดูว่า ธุรกิจไหน อุตสาหกรรมไหน หรือภาพใหญ่ของเศรษฐกิจตรงไหน ที่จะมีการพลิกฟื้นและทำให้ภาพดีขึ้นส่งผลให้เม็ดเงินที่ใช้ในการเก็งกำไรก็จะวิ่งกลับไปที่จุดนั้น

ทว่าในส่วนของหุ้น IPO โดยปกติแล้วเป็นหุ้นที่มีการเก็งกำไรค่อนข้างสูง ผู้ที่ไม่ได้ราคาจองและมาไล่ซื้อบนกระดานจะต้องมีการปรับ Mindset เนื่องจากเป็นการเก็งกำไร ไม่ใช่การลงทุน ดังนั้นต้องมีจุด Stop Loss เสมอ เช่น ถ้าหากราคาลงจากทุนไปประมาณ 5% ก็ควรขายก่อน โดยใช้หลักการว่า “ขายก่อน ถามทีหลัง” ซึ่งจะทำให้การลงทุนมีความสมดุลมากขึ้น

นอจากนี้ การคัดเลือกหุ้น IPO ที่อาจยังไม่เห็นพื้นฐานที่ชัดเจน นักลงทุนควรเริ่มต้นจากการอ่านเอกสารไฟลิ่งและพิจารณาเลือกธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสเติบโต และควรเลือกอุตสาหกรรมที่ดูแล้วประเทศไทยมีจุดแข็งและยังโตได้ เช่น ลองคิดว่าอีก 5 ปีข้างหน้า สินค้าหรือบริการไหนในไทยที่ตลาดยังจะเติบโตได้ ตัวอย่างเช่น บริการที่เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น

“เจ็กกี้-สุธน สิงหสิทธางกูร” กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ สมาคมนักลงทุน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความสนใจในหุ้น IPO เกิดจากแรงเก็งกำไรที่สูงมาก ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยยังคงมีความผันผวน เนื่องจากโอกาสในการเติบโตระยะยาวในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่าง SET50 และ SET100 นั้นมีน้อยมาก ทำให้เงินทุนหมุนเวียนเข้ามาเล่นในกลุ่ม IPO แทน โดยหุ้นที่เข้ามาส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดเล็ก

ทั้งนี้ เมื่อตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ขาดการเติบโต หากมีหุ้นเพียง 5-10% ที่มีการเติบโตดี นักลงทุนจะแห่เข้ามาเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนเข้ามาช้า อาจจะต้องเข้าซื้อบน Valuation ที่สูงและตึงมาก

“หุ้น IPO ถือเป็นหุ้นเก็งกำไรสูง หากนักลงทุนอยู่ในฐานะผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท หรือไม่ได้เป็น FA ที่ได้หุ้นจองมาตั้งแต่แรก ควรพิจารณาจากกราฟและโหมดธุรกิจคร่าว ๆ สำหรับนักลงทุนที่อดใจไม่ไหวควรมีวินัยในการลงทุนและกำหนดจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจน เช่น หากเข้าชาร์จแล้วราคาลบลง 10% ต้องตัดสินใจออกทันที”

ขณะที่ ภาพรวมของดัชนีตลาดหุ้นไทยว่ายังไปไม่ไหว เนื่องจากหากเศรษฐกิจเติบโตได้ดีจริง หุ้นในกลุ่ม SET50 และ SET100 จะต้องสามารถสะสมการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด เช่น 5 เด้งใน 5 ปี หรือ 9-10 เด้งใน 10 ปี

ทั้งนี้ ปัจจุบันธุรกิจหลักของไทยส่วนใหญ่ ได้แก่ ค้าปลีก โรงพยาบาล สนามบิน และการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของดัชนี ยังขาดการเติบโตที่แข็งแกร่ง ทำให้เม็ดเงินที่ต้องการสร้างผลตอบแทนระยะสั้นต้องย้ายเข้ามาในตลาดที่มีการเก็งกำไรสูงกว่าอย่างหุ้น IPO