โบรกคาด ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ เจอกัน ลดตึงเครียดการค้า หนุนตลาดระยะสั้น

นักวิเคราะห์มองว่า ‘ทรัมป์-สี จิ้นผิง’ พบกันเป็นเพียง "ปัจจัยเชิงจิตวิทยา" ที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นใน "ระยะสั้น" เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้ข่าวไปแล้วบางส่วน สะท้อนผ่านการฟื้นตัวของตลาดในช่วงก่อนหน้า
KEY
POINTS
- การพบปะกันระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุมเอเปก (APEC) ถูกมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าและหนุนจิตวิทยาการลงทุน
- นักวิเคราะห์มองว่าการพบกันเป็นเพียง "ปัจจัยเชิงจิตวิทยา" ที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นใน "ระยะสั้น" เนื่องจากนักลงทุนได้รับรู้ข่าวไปแล้วบางส่วน สะท้อนผ่านการฟื้นตัวของตลาดในช่วงก่อนหน้า
- แม้ผลการเจรจาจะออกมาเป็นบวก แต่ราคาหุ้นอาจปรับขึ้นได้ไม่มากนัก เนื่องจากตลาดได้สะท้อนปัจจัยบวกจากประเด็นการค้าไปมากแล้ว
- นักวิเคราะห์เตือนว่าความขัดแย้งเชิงโครงสร้างระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงอยู่ โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ทำให้การประนีประนอมอย่างแท้จริงในระยะยาวยังเกิดขึ้นได้ยาก
- แม้ทิศทางตลาดโดยรวมยังเป็น "ไซด์เวย์อัป" แต่นักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีสัญญาณชะลอตัว
“ตลาดหุ้นโลก” เริ่มคลายกังวล หลัง “สหรัฐและจีน” ส่งสัญญาณผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้า หนุน “จิตวิทยาการลงทุนฟื้นตัว” ซึ่ง ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” และประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” จะพบปะกันนอกรอบในการประชุมเอเปก (APEC) วันนี้ (30 ต.ค.) ณ ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวก แต่ “นักวิเคราะห์” เตือนว่า “ปัจจัยบวก” จากประเด็นการค้าถูกสะท้อนไปมากแล้ว และเศรษฐกิจโลกยังมีสัญญาณชะลอตัว จึงต้อง “ระมัดระวังลงทุนระยะสั้น” แม้มุมมองต่อทิศทางตลาดโดยรวมยังเป็น “ไซด์เวย์อัป” และมีแนวโน้มฟื้นตัวค่อยเป็นค่อยไป
“พิริยพล คงวาณิช” ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์พื้นฐานสายงานวิจัย บล.บัวหลวง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังบรรยากาศการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีสัญญาณผ่อนคลายลง
โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองประเทศได้หารือและลงนามในกรอบความร่วมมือทางการค้าร่วมกันเมื่อ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา
โดยประเด็นบวกหลัก ที่ช่วยลดแรงกดดันในตลาด ได้แก่ การเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้า ที่เคยเป็นชนวนความตึงเครียด รวมถึงการชะลอควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน และการที่จีนอาจกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าดังกล่าวทำให้ตลาดเชื่อมั่นการพบปะของ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิง ระหว่างการประชุม APEC น่าจะเป็นไปในทิศทางบวก แม้ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่โดยรวมเชื่อหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวทิศทางไซด์เวย์อัปมีโอกาสปรับฐานบ้างแต่ไม่น่ารุนแรง
“วทัญ จิตต์สมนึก” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย มองว่า การพบปะระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง นอกรอบการประชุม APEC วันนี้เป็นเพียง “ปัจจัยเชิงจิตวิทยา” ที่ช่วยหนุน “ตลาดหุ้นระยะสั้น” เนื่องจากนักลงทุนรับรู้ข่าวไปแล้วบางส่วน สะท้อนผ่านการฟื้นตัวของตลาดช่วงก่อนหน้า
ทั้งนี้ แม้การเจรจาจะสร้างภาพเชิงบวกในระยะสั้น แต่ในเชิงโครงสร้างแล้ว ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังดำรงอยู่ เพราะทั้งสองชาติกำลังแข่งขันกันในมิติของเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นฝั่งจีนมีการจำกัดการส่งออกแร่หายาก ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯ มีการจำกัดในเรื่องของเทคโนโลยี เช่น เซมิคอนดักเตอร์เพื่อไม่ให้ส่งไปยังจีนมากเกินไป
ซึ่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์เองยังเคยมีแนวคิดที่จะปรับขึ้นภาษีจีนไปเป็น 100% ดังนั้น แม้บรรยากาศจะผ่อนคลายลง แต่การประนีประนอมอย่างแท้จริงยังเกิดขึ้นได้ยากในระยะยาว
“แม้ตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ยังอิงกับเศรษฐกิจจริง แต่เริ่มเห็นการไหลของเม็ดเงินเข้าหาหุ้นเทคโนโลยี โดยเฉพาะ DELTA ซึ่งถูกมองว่าได้ประโยชน์จากกระแส AI และ Data Center เช่นเดียวกับตลาดโลก โดยคำแนะนำนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานและผลประกอบการมากกว่าปัจจัยข่าวหรือจิตวิทยาระยะสั้น เพราะสุดท้ายแล้ว ทิศทางของตลาดจะขึ้นอยู่กับกำไรจริงของบริษัท”
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า การประชุม APEC ในสิ้นเดือนต.ค.นี้ คาดประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง จะพบกันตลาดปรับบวกขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว และคาดการเจรจาน่าจะเป็นไปได้ด้วยดีที่จะพบเจอกันในเกาหลีใต้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง รวมถึง Bitcoin ปรับตัวขึ้น ส่วนหุ้นไทยปรับขึ้นมาเช่นกัน นอกจากผลประกอบการ DELTA ขณะที่ ทองคำถูกเทขายหลุด 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ตาม แม้ผลลัพธ์การเจรจาจะออกมาเป็นบวกจริง แต่ราคาหุ้นอาจจะขึ้นได้ไม่เยอะแล้ว เนื่องจากราคาได้สะท้อนข่าวดังกล่าวไปพอสมควร







