โบรกหนุน ‘แปรรูปแร่หายาก’ หวังช่วย ‘ปลดล็อก’ จีดีพีไทยขยายตัวมากกว่า 2%

โบรกคาดรัฐบาลเร่งเครื่อง “Clean Road Map” ปั้นไทยฮับแปรรูปแร่หายาก หวังดึงดูด “เอฟดีไอ” ยกระดับพลังงานสะอาด “บล.โกลเบล็ก” ชี้ไทยมีศักยภาพสูง รับ “กลุ่มนิคม-โรงไฟฟ้า” เด่น “บล.หยวนต้า” มองทำได้จริงส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทย “บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล” ชี้เป็นกุญแจปลดล็อก “จีดีพีไทย” เติบโต
KEY
POINTS
- โบรกเกอร์มองว่าแผนแปรรูปแร่หายากของรัฐบาลจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
- นักวิเคราะห์ชี้ว่าการลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานและเพิ่มการผลิตในประเทศ จะส่งผลบวกโดยตรงต่อสมการคำนวณจีดีพี และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกการเติบโตของเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวเกิน 2%
- กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (WHA, AMATA) และกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GULF) ถูกมองว่าจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการขายที่ดินและความต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาลในกระบวนการแปรรูป
- แม้ไทยจะมีศักยภาพด้านแร่หายากเป็นอันดับ 7 ของโลก แต่ยังขาดการลงทุนและบุคลากร ซึ่งการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาช่วยเติมเต็มช่องว่างนี้
- อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของแผนยังมีความไม่แน่นอนด้านระยะเวลา เนื่องจากขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการผลักดันของรัฐบาลที่อาจมีเวลาจำกัด
รัฐบาลเดินหน้าแผนยุทธศาสตร์การแปรรูปและรีไซเคิลแร่หายากของรัฐบาล หรือ “Clean Road Map” อย่างเต็มกำลัง เพื่อเร่งรัดการพัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปและรีไซเคิลแร่หายาก (Rare Earths) หวังยกระดับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และเป็นแรงดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เข้ามาในไทยอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองเป็นเสียงเดียวกันว่า หากแผนการนี้สามารถเกิดขึ้นได้จริง จะกลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญอย่างยิ่งต่อภาคนิคมอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้าซึ่งจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกอย่างเต็มที่จากการขยายฐานการผลิตที่เกี่ยวข้องกับแร่หายาก และความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นในกระบวนการแปรรูป
นายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ประเทศไทยมี “ศักยภาพ” ที่โดดเด่นในการแปรรูปแร่หายาก โดยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 7 ของโลกด้านการดำเนินงานเกี่ยวกับแร่หายาก แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไทยยัง “ขาดการลงทุน” และ “บุคลากร” ในภาคส่วนดังกล่าว หากรัฐบาลสามารถ “ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ” ให้เข้ามาดำเนินการได้จริง กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะได้รับประโยชน์โดยตรง ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าจะได้รับประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากกระบวนการแปรรูปแร่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในปริมาณมหาศาล
นอกจากนี้ ภายใต้การบริหารงานของรัฐมนตรีท่านใหม่ ยังมีการอนุมัติมาตรการที่ส่งเสริมภาคพลังงานไฟฟ้าอย่างชัดเจน อาทิ การส่งเสริม Utility Green ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติต้องการ โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถชดเชยการปล่อยคาร์บอนจากการทำเหมืองได้ด้วยการซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจาก “พลังงานหมุนเวียน” (Renewable Energy) รวมถึงการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ เช่น โครงการโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ และมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับโซลาร์รูฟท็อปในครัวเรือน 200,000 บาท ซึ่งมาตรการเหล่านี้ ประกอบกับการที่รัฐมนตรีท่านใหม่จะไม่เข้าแทรกแซง หรือกดราคาค่าไฟฟ้า จะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ภาคไฟฟ้าดีขึ้นอย่างมาก
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากแผนข้างต้นมองว่า บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM โดดเด่นสุดในปีนี้ เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องทั้งกับนิคมอุตสาหกรรมและ Utility Green ขณะที่ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF มีโอกาสสูงในการได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าใหม่ๆ จากธุรกิจ Data Center และโทรคมนาคม ส่วนบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL มีความสามารถแบบครบวงจร ด้านกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ผูกพันโดยตรงกับพลังงานไฟฟ้า คือ
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA และ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หากแผนข้างต้นเกิดขึ้นได้จริง ถือเป็น “ผลบวก” อย่างมาก เพราะแร่หายากเป็นที่ต้องการของตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่มีการจับมือร่วมกันเรื่องแร่หายากและการลงทุนร่วมกัน การมีทรัพยากรที่สามารถนำมาพัฒนาได้จะช่วย “ดึงดูดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน” ซึ่งจะช่วยลดภาระการลงทุนของไทยเอง โดยกลุ่มนิคมฯ เช่น WHA และ AMATA จะขายที่ดินได้เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ขายไฟฟ้าให้กับนิคมฯ อย่าง BGRIM และบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC จะได้รับประโยชน์
นายกรรณ์ หทัยศรัทธา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะการลดสัดส่วนการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันหรือพลังงาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงของการนำเข้าโดยรวม หากสามารถลดการนำเข้าและเพิ่มการผลิตในประเทศ จะช่วยให้ส่วนต่างในสมการคำนวณ “จีดีพีไทยเพิ่มขึ้น” และอาจช่วยปลดล็อกการเติบโตของจีดีพีไทยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำกว่า 2% ได้
นอกจากนี้ การดึงดูด FDI ถือเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้ Clean Road Map โดยการลงทุนจากต่างประเทศในครั้งนี้ คาดว่าจะเข้ามาพร้อมกับระบบการดำเนินงานและบุคลากรทั้งหมด ซึ่งหากสามารถจ้างงานคนไทยได้ จะทำให้เกิดผลประโยชน์ที่เป็นบวกถึงสองต่อ โดยกลุ่มที่จะได้รับอานิสงส์เพิ่มเติม ได้แก่ WHA, BGRIM, GULF และ BCPG
อย่างไรก็ตาม บางส่วนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในเรื่องระยะเวลาเนื่องจากความสำเร็จของโครงการขึ้นอยู่กับอายุของรัฐบาล และบางฝ่ายกังวลว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันอาจมีเวลาดำเนินการเพียง 4 เดือน ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการผลักดันนโยบายให้บรรลุผลได้ทัน ซึ่งรัฐบาลก็จำเป็นต้องเร่งดำเนินการ เพราะหากทำได้สำเร็จจะถือเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป







