ATLAS ปั้นรายได้หนุนเติบโต สั่งปิด ‘บุ๊ก’ หาตัวการขาย ลั่น ’หุ้นใหญ่’ ติดล็อกอัป100%

"แอตลาส" ปั้นรายได้หนุนเติบโต สั่งปิด "สมุดทะเบียน" หาตัวการถล่มขาย ลั่น ‘หุ้นใหญ่’ ติดล็อกอัป 100% ชูจุดเด่น “ธุรกิจสื่อโฆษณา” สร้างมาร์จินมากกว่า 60% หนุน “กำไร” ขยายตัวต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- ATLAS ยืนยันผู้ถือหุ้นใหญ่ (PTG) ติด Lock-up 100% ไม่ได้ขายหุ้นออก พร้อมสั่งปิดสมุดทะเบียนเพื่อตรวจสอบหาผู้ที่เทขายหุ้นในวันแรก
- บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO ไปต่อยอดสร้างการเติบโตใน 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ภาคยานยนต์, ภาคครัวเรือน-อุตสาหกรรม, ธุรกิจต้นน้ำ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
- ผู้บริหารแสดงความเชื่อมั่นในพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยชี้ผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่องกว่า 40% และมีแผนต่อยอดธุรกิจสื่อโฆษณามาร์จินสูงเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต
เกิดอะไรขึ้นกับหุ้น บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ผู้จำหน่ายก๊าซแอลพีจีให้กับผู้ใช้ภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง ภายใต้เครื่องหมายการค้า “PT” และให้กับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเปิดต่ำจองตั้งแต่วันแรกเข้าซื้อขาย (เทรด) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากราคาเปิดที่ 2.50 บาท ต่ำกว่าราคาไอพีโอหุ้นละ 3 บาท ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน P/E ประมาณ 15 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมพลังงานและมีเดียอยู่ที่ 23 เท่า และเหล่านักวิเคราะห์หลายสำนักต่างให้ราคาพื้นฐานธุรกิจหุ้น ATLAS สูงกว่าราคาไอพีโอ และเหตุอันใดราคาหุ้น ATLAS ถึงร่วงหนักในวันแรก
“สุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า จากกรณีที่หุ้น ATLAS เปิดต่ำกว่าราคาไอพีโอตั้งแต่วันแรกนั้น ยืนยันกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องขายหุ้น ATLAS ออกมา ด้วยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนถือหุ้น 70.50% นอกเหนือส่วนที่ติด “ไซเรน พีเรียด” (Silent Period) ตามกฎเกณฑ์แล้ว หุ้นส่วนที่เหลือทั้งหมดของ PTG ได้ดำเนินการล็อคอัป (lock-up) ทั้งหมด 100% ไว้ที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์เป็นระยะเวลา 1 ปี
โดยหุ้นไอพีโอที่ออกเสนอขายจำนวน 418,420,000 หุ้น คิดเป็น 29.50% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ไม่มีผู้ได้หุ้นไอพีโอในราคาต่ำกว่า 3 บาทแม้แต่รายเดียว... โดยบริษัทกำหนดราคาเสนอขาย “เท่ากันทุกกลุ่ม” ทั้งในส่วนของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของ PTG และบริษัทย่อยของ PTG (แต่ไม่รวมถึงกลุ่มบริษัท ATLAS ), กลุ่มผู้มีอุปการคุณของบริษัท และบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่าย
ดังนั้น เพื่อพิสูจน์ความจริงและตรวจสอบผู้ที่เทขายหุ้นในวันแรกที่เข้าซื้อขาย บริษัทจึงได้ดำเนินการ “ปิดสมุดทะเบียน” ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา เพื่อรวบรวมข้อมูลหาว่าใครเป็นคนขายหุ้นทิ้งบ้างในวันแรก
อย่างไรก็ตาม แค่อยากจะบอกว่าผมทำงานที่ PTG มาตลอด 30 ปี และตลอด 5-6 ปี ผมและทีมงาน ATLAS ทุ่มเททำงาน พลิกฟื้นธุรกิจจาก “ขาดทุนหนัก” ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับมาเป็น “กำไร” ได้ เพื่อเป้าหมายนำหุ้น ATLAS ผ่านเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ จนได้
สะท้อนผ่าน “ผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาเติบโตระดับ 40% ก่อนเข้าตลาดหุ้น ดังนั้น วันนี้ยืนยันผลงานดังกล่าวจะเป็นบทพิสูจน์พื้นฐานธุรกิจของ ATLAS ที่แข็งแกร่ง และสะท้อนภาพกลับมาที่ราคาหุ้น ATLAS ในอนาคตได้เอง”
สอดคล้องกับ “เงินระดมทุน” หลังที่บริษัทเข้าตลาดหุ้น โดยจะนำเงินทุนไป “ต่อยอด” สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ ตามแผน 4 ธุรกิจหลัก เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง
“สุวัชชัย” แจกแจงแผนธุรกิจสะท้อนผ่านการ “ขยายธุรกิจในภาคยานยนต์” คิดเป็น 20-25% ของเงินทุน สะท้อนผ่านปัจจุบันบริษัทครองส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อันดับ 1 ในภาคขนส่ง (Auto LPG) โดยจะนำเงินไปขยายสถานีบริการ และ โครงการ Taxi Transform และ Auto Transform ซึ่งช่วยกลุ่มผู้มีรายได้น้อยให้เข้าถึงพลังงานที่ถูกและสะอาด โดยผูกสัญญาเติมแก๊สในระยะยาว
“ขยายธุรกิจในภาคครัวเรือน-อุตสาหกรรม” คิดเป็น 20-25% ของเงินทุน ด้วย Market Share เพียง 4% ในตลาดที่มี Market Size ใหญ่ และเติบโตสูง จะใช้โมเดล Hub and Spoke ในการขยายโรงบรรจุและจุดกระจายสินค้า เพื่อลดต้นทุน Logistics และขยายร้านจำหน่ายแก๊สในสถานีบริการน้ำมัน PTG
สะท้อนผ่าน ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้จากการขายก๊าซแอลพีจี เติบโตเฉลี่ย 46.84% ต่อปี และในช่วงครึ่งปีแรกปีนี้มีรายได้จากการขายก๊าซแอลพีจีเติบโต 11.70% สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นของบริษัท และบริษัทยังมีกำไรต่อเนื่องด้วย
ขณะที่ ATLAS มีจุดแข็งด้านโครงสร้างธุรกิจแบบ COCO (Company Owned Company Operated) ทำให้บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมคุณภาพบริการได้ทุกขั้นตอน และสร้าง “Power of Network” เชื่อมโยงกับ Ecosystem ของกลุ่ม PTG ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งความแข็งแกร่งของแบรนด์จาก PTG บริษัทค้าปลีกนํ้ามันอันดับ 2 ในเมืองไทย ทําให้มีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน ซึ่งจะหนุนให้แผนการขยายธุรกิจของ ATLAS เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในอนาคต รวมทั้งส่งผลให้บริษัทมี “อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าอุตสาหกรรมทั่วไป”
นอกจากนี้ ไฮไลต์สำคัญคือ การต่อยอด “สื่อโฆษณา” จากสถานีบริการมากกว่า 244 แห่งทั่วประเทศ ยังสร้าง “มาร์จิน” สูงกว่า 60% จากการที่บริษัทใช้โมเดล Asset Monetization คือ การใช้ทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วสร้างให้เกิดรายได้ โดยใช้พื้นที่ว่างบนรถแท็กซี่ที่เข้าร่วมโครงการ Transform และปั๊มน้ำมันเช่น ในห้องน้ำ หรือบนตู้จ่าย ซึ่งสถานีบริการแก๊สกว่า 244 สาขาเป็น Touch Point ในการขายสื่อโฆษณา ทำให้มี “ต้นทุน” ในการได้มาซึ่งพื้นที่ต่ำมากเพราะเป็นพื้นที่ของเราเอง ดังนั้น จึงเป็นโอกาสเติบโตระยะยาวให้ ATLAS กลายเป็นหนึ่งในหุ้นพลังงานค้าปลีกที่มีโครงสร้างรายได้สมดุล ทั้งจากพลังงานและบริการเสริม
ส่วนผลกระทบจากการมาของ “รถยนต์ไฟฟ้า” (EV) นั้น มองว่ากระทบกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทน้อยมาก เนื่องจากลูกค้าหลักคือกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางถึงล่าง เช่น แท็กซี่ และผู้ที่ต้องการลดค่าครองชีพ ซึ่งการเปลี่ยนไปใช้ EV ต้องใช้เงินลงทุนสูง (Switching Cost) ประมาณ 3-5 แสนบาท ในขณะที่การติดแก๊ส LPG ใช้เงินเพียง 20,000 บาท นอกจากนี้ ต้นทุนต่อกิโลเมตรของการใช้ LPG ก็ยังใกล้เคียงกับ EV อีกด้วย
โดยครึ่งปีแรกปี 2568 บริษัทมีรายได้ 5,935.84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.12% และมีกำไรสุทธิ 155.70 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 14.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม พร้อมกำไรสะสมกว่า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นฐานทุนที่แข็งแรง รองรับการขยายตัวในระยะยาว
ท้ายสุด “สุวัชชัย” บอกว่า เงินที่ได้จากการระดมทุน IPO จะนำไปขยายธุรกิจ ทั้งภาคครัวเรือนและภาครถยนต์ ซึ่งมั่นใจว่าเงินที่ได้จาก IPO จะสามารถต่อยอดให้เติบโตได้ ซึ่งหากดูย้อนหลังในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ATLAS มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเติบโตมากกว่า 40% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น หลังจากได้เงินครั้งนี้ จะมั่นใจว่าจะเอาเงินไปต่อยอดในภาคครัวเรือน รถยนต์ และธุรกิจอื่น ๆ และเชื่อว่าจะสามารถผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง







