‘กลุ่มสมอทอง’พลิกโฉมธุรกิจ หวังก้าวสู่ ‘หุ้นเติบโต’ แห่งอนาคต

‘กลุ่มสมอทอง’พลิกโฉมธุรกิจ  หวังก้าวสู่ ‘หุ้นเติบโต’ แห่งอนาคต

‘กลุ่มสมอทอง’ หวังเงินระดมทุนก้าวสู่ ‘หุ้นเติบโต’ แห่งอนาคต ชูจุดเด่นตลาดโลกต้องการน้ำมันปาล์มดิบ 70-80 ล้านตัน เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.5 ล้านตัน ไทยส่งออกเพียง 1 ล้านตัน

KEY

POINTS

  • กลุ่มสมอทอง (SMO) ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ Top 5 ของไทย เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) โดยตั้งเป้าระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจและก้าวขึ้นสู่ Top 3 ของประเทศภายใน 3 ปี
  • ปรับกลยุทธ์ธุรกิจโดยมุ่งเน้นการบริหารซัพพลายเชนเพื่อลดความเสี่ยงด้านราคาวัตถุดิบ และหันมาให้ความสำคัญกับตลาดส่งออกที่เติบโตสูง ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 60-70%
  • วางแผนขยายกำลังการผลิต เพิ่มโรงงานสำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ (น้ำมันเมล็ดในปาล์ม) ควบคู่กับการต่อยอดธุรกิจพลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ในยุคที่ “ธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์” เผชิญแรงสั่นสะเทือนจากการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม แต่สำหรับ “น้ำมันปาล์ม” ยังคงเป็นสินค้าหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และหนึ่งในผู้เล่นที่กำลังเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีทำธุรกิจอย่างพลิกโฉม คือ “กลุ่มสมอทอง” ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบ ที่กำลังเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายใต้ชื่อย่อ “SMO” เร็วๆ นี้

ภายใต้ผู้ก่อตั้ง 3 เสาหลัก ที่หลอมรวมเป็นหนึ่งด้วยความเชี่ยวชาญด้านการจัดหาผลปาล์มสด ด้านการรับเหมาก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบ และความเชี่ยวชาญด้านเครื่องจักร จึงเป็นพลังขับเคลื่อนให้ “กลุ่มสมอทอง” เติบโตอย่างรวดเร็ว จนขึ้นเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ TOP 5 ของประเทศในเวลาเพียง 15 ปี และ ภายหลังเข้าระดมทุนครั้งนี้ ปักมุดเป้าหมายสร้างการเติบโตภายใน 3 ปีขึ้นสู่อันดับ TOP 3 ของประเทศ

และเพื่อทะลายกำแพงของนักลงทุน ที่อาจเข้าใจว่า ธุรกิจน้ำมันปาล์ม เป็นธุรกิจเดิม ใกล้ตาย หรือ ยังมีโอกาสเติบโตได้จริงหรือไม่นั้น “กิตติพงษ์ พวงมาลา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เพื่อฉายภาพ “ธุรกิจน้ำมันปาล์มไทย ไม่มีวันตาย” และมีศักยภาพในการเติบโตสูงในหลายด้านต่อเนื่องและมั่นคง

‘กลุ่มสมอทอง’พลิกโฉมธุรกิจ  หวังก้าวสู่ ‘หุ้นเติบโต’ แห่งอนาคต

“กิตติพงษ์” เรียกว่า เราเป็น “แนวโน้มขาขึ้น หรือ Uptrend” แม้ในสภาวะเศรษฐกิจผันผวน ภายใต้แรงกดดันจากปัจจัยต่างๆ รอบด้าน “น้ำมันปาล์ม” ยังคงเป็น “สินค้าจำเป็นพื้นฐานของประชากรส่วนใหญ่ของโลก” สอดแทรกอยู่ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์รอบตัวเรา ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบ หรือได้รับผลกระทบน้อยจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของ “น้ำมันปาล์มในฐานะวัตถุดิบหลักที่ยังคงมีเสถียรภาพในตลาดโลก”

ที่สำคัญ “ต้นทุนการผลิตที่ต่ำ” จากการที่ปาล์มน้ำมันเป็นพืชที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงเมื่อเทียบกับพืชน้ำมันชนิดอื่น ขณะเดียวกันยังมีต้นทุนต่อหน่วยต่ำ จึงสามารถแข่งขันและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก การมุ่งเน้นสู่ตลาดส่งออก ซึ่งมีการแข่งขันเสรีและราคาขึ้นอยู่กับอุปสงค์-อุปทานของโลก เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มได้มากขึ้น เพิ่มส่วนแบ่งตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันด้วย จุดแข็ง “กลุ่มสมอทอง” ที่แตกต่าง “กิตติพงษ์” สะท้อน “แนวคิดการบริหาร Supply Chain” ที่ไม่ยึดติดกับราคาวัตถุดิบ เป็นบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในตลาด “ซื้อถูกขายถูก ซื้อแพงขายแพง” วางตำแหน่งเป็น “ตัวกลาง” ที่ไม่รับผลกระทบโดยตรงจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ

แต่มุ่งเน้นการจัดหาวัตถุดิบที่ครอบคลุมพื้นที่ปลูกปาล์มสำคัญ ด้วย “กลยุทธ์การขยายจุดรับซื้อ” กว่า 53 จุดทั่วประเทศ ลดต้นทุนขนส่ง และสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบตลอดทั้งปี

 “กลุ่มสมอทอง” ก้าวไปสู่บทบาทสำคัญ คือ เป็นหนึ่งในผู้นำของ “ตลาดส่งออก” ปัจจุบันมีผู้เล่นจํากัด เพียง 4-5 รายในไทย ซึ่งการเข้าถึงตลาดส่งออกนี้ ช่วยให้บริษัทมีทางเลือกในการกำหนดราคาและเพิ่มอัตรากําไร โดยสามารถเลือกส่งออกไปยังตลาดที่ให้ราคาดีกว่าในแต่ละช่วงเวลา

ขณะที่ สถานการณ์ในประเทศไทย การบริโภคน้ำมันปาล์ม ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การใช้ไบโอดีเซล (B3, B5, B7) มีแนวโน้มลดลง ต่างจากอินโดนีเซียที่หันไปใช้น้ำมันปาล์มภายในประเทศ เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียออกสู่ตลาดโลกลดลงเปิดโอกาสให้ไทยส่งออกมากขึ้น

และตลาดโลกมีความต้องการน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ1.5 ล้านตันขณะที่ไทยส่งออกเพียง 1 ล้านตัน แต่ กลุ่มสมอทองยังมีส่วนแบ่งไม่ถึง 100,000 ตันซึ่งสะท้อนโอกาสมหาศาลโดยเฉพาะในตลาดจีนและอินเดียที่มีความต้องการสูงและข้อจำกัดด้านวัตถุดิบจากประเทศคู่แข่ง

นอกจากนี้ กลุ่มสมอทองยังมีอีก 1 ธุรกิจ คือ “การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ” มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญารับซื้อไฟฟ้า (PPA) รวม 12.7 เมกะวัตต์ ช่วยสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ

หลังระดมทุนครั้งนี้ หนุนเป้าหมายระยะ 3 ปีข้างหน้า ของ “กลุ่มสมอทอง” คาดเป็นบริษัทที่มีกำลังการผลิตติดอันดับ Top 3 ของประเทศ ด้วยการขยายกําลังการผลิต ภายในเดือนเม.ย.ปีหน้า เพิ่มกำลังการผลิตจาก 240 ตันต่อชั่วโมง เป็น 315 ตันต่อชั่วโมง หรือ เพิ่มขึ้น 31.25% จากการลงทุนก่อน IPO

และเงินจากการระดมทุน IPO จะสนับสนุนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ให้เห็นถึงการเติบโตที่ชัดเจนในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า จากการเพิ่มจำนวนโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบ และโครงการเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น โรงงานผลิตน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO)

รวมถึงบริษัทฯ คาดเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 60-70% จากปัจจุบันมีสัดส่วน 60% มองหาตลาดใหม่ๆ เช่น จีน เสริมความมั่นคงจากตลาดอินเดีย ที่เป็นตลาดหลัก และมุ่งมั่นความยั่งยืนที่จับต้องได้มองเห็นคุณค่าจากสิ่งที่คนอื่นมองข้ามมีแผนรองรับการจัดการและเตรียมพร้อมCarbon Footprintครบทุกโรงงาน และ Carbon Credit จากห่วงโซ่อุปทาน และแปรรูปผลพลอยได้ ซึ่งพลังงานสะอาด เป็นประเด็นสำคัญในอนาคต

“กลุ่มสมอทอง” ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตน้ำมันปาล์มรายหนึ่งเท่านั้น แต่ยังถูกจับตามองในฐานะ “หุ้นโภคภัณฑ์แห่งอนาคต” ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมนโยบายจ่ายปันผล ที่ตอบโจทย์นักลงทุนที่มองหาโอกาสในระยะกลางถึงระยะยาว

ด้วยโมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่น กำไรขยายได้จริง และการปรับตัวต่อโอกาสในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง “กลุ่มสมอทอง” จึงพร้อมเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่ไปกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระยะยาว