โบรกคาด GPSC กำไรไตรมาส 3/68 ฟื้น ปีหน้าโตเพิ่ม หลัง PTT ปรับโครงสร้าง

โบรกคาด GPSC กำไรไตรมาส 3/68 ฟื้น ปีหน้าโตเพิ่ม หลัง PTT ปรับโครงสร้าง

บล.ลิเบอร์เรเตอร์ เผย GPSC รายงานกำไรไตรมาส 3/68 ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนจากต้นทุนลดลง แต่ยังหดตัวแบบ QoQ จากฤดูกาลและรายการพิเศษ ด้านบวกยังมีโอกาสเติบโตจากการปรับโครงสร้างสินทรัพย์ของกลุ่ม PTT ที่คาดหนุนผลประกอบการปีหน้า ขณะที่ปัจจัยลบต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย นักลงทุนคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นทั้งในส่วน Direct PPA และสัญญาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

KEY

POINTS

  • บล.ลิเบอร์เรเตอร์คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3/68 ของ GPSC จะฟื้นตัวแข็งแกร่ง เติบโต 132% เมื่อเทียบกับปีก่อน (y-y) มาอยู่ที่ 1,787 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากต้นทุนก๊าซและถ่านหินที่ลดลง
  • คาดว่าผลประกอบการในปีหน้าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยมีโอกาสได้บริหารโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม ปตท. (PTT)
  • แม้กำไรจะหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (q-q) จากปัจจัยฤดูกาลและผลขาดทุนของบริษัทร่วม แต่ภาพรวมปัจจัยลบต่าง ๆ เริ่มคลี่คลายลง
  • นักวิเคราะห์แนะนำ "เก็งกำไร" จากภาพรวมอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น และการฟื้นตัวของผลการดำเนินงานที่ชัดเจน

นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บล.ลิเบอร์เรเตอร์ เปิดเผยว่า GPSC หรือ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ไตรมาส 3/68 คาดกำไรจะดีขึ้น y-y ได้ผลบวกจากต้นทุนลดลง แต่การหดตัว q-q เกิดจากบริษัทร่วมแรง แยกตามธุรกิจดังนี้

  • โรงไฟฟ้า IPP คาดปริมาณขายไฟเพิ่มขึ้น +2% q-q จากโรงไฟฟ้าเก็คโค่วันผลิตทั้งไตรมาส และ +225% y-y จากปีก่อนเก็คโค่วันผลิตเพียง 1 เดือนเท่านั้น
  • โรงไฟฟ้า SPP คาดปริมาณขายไฟ เพิ่มขึ้น +3% q-q แม้ขายไฟให้ EGAT ลดลงแต่ลูกค้า IU เพิ่มดี +6% q-q ส่วนไอน้ำ +13% q-q หลังกลับมาเดินเครื่องปกติ แต่หด -3% y-y จากการขายไฟให้ EGAT ลดลง แม้ขายไฟให้ IU เพิ่ม +1% แต่ขายไอน้ำ -1% เช่นกัน
     

ทั้งนี้ ส่งผลให้ปริมาณขายไฟทั้งกลุ่มเพิ่มขึ้น +3% q-q และ +27% y-y ขณะที่ปริมาณขายไอน้ำ +13% q-q แต่ลดลง -1% y-y

ขณะที่ กำไรขั้นต้น คาดที่ 15% ดีขึ้นทั้ง y-y และ q-q แม้ค่า Ft จะลดลง 7 สตางค์/ หน่วย q-q และ 21.33 สตางค์/ หน่วย y-y เป็น 18.39 สตางค์/ หน่วย แต่ GPSC ได้ผลบวกจากราคาก๊าซลดลง -14% q-q และ -11% y-y และราคาถ่านลดลง -3% q-q และ -16% y-y อีกทั้งจากปริมาณขายเพิ่มขึ้นในกลุ่ม IU ขณะที่กลุ่ม SPP สต็อกที่มีอยู่ราคาใกล้เคียงกับราคาปัจจุบันทำให้การดำเนินงานดีขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร คาดเพิ่มขึ้น +5% q-q และ +8% y-y ตามปัจจัยฤดูกาล แต่คาดดอกเบี้ยจ่ายลดลง -4% q-q และ -16% y-y ตามการจ่ายคืนหนี้ไปและอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง

ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดจะพลิกรับรู้ขาดทุน แม้ว่าในส่วนโรงไฟฟ้าไซยะบุรีการดำเนินงานจะดีขึ้นทั้ง y-y และ q-q ตามปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น แต่ทั้งหมดถูกหักล้างจากการดำเนินงานของ CFXD ที่คาดจะพลิกมาขาดทุนราว 88 ล้านบาท รวมถึง CFXD ที่คาดจะขาดทุน 827 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3 เป็นช่วง low season ทำให้การใช้กำลังการผลิต CUF (อัตราส่วนของพลังงานที่ผลิตได้จริงต่อพลังงานสูงสุดที่สามารถผลิตได้) อยู่ที่เพียง 11% หากเทียบกับช่วง Peak ในไตรมาส 1/68 จะสูงถึง 42% ส่งผลให้การดำเนินงานพลิกมาขาดทุน อีกทั้งเงินไต้หวันอ่อนค่าทำให้มีขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน และยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษในการปรับอายุการคิดค่าเสื่อมราคาเข้ามาอีกด้วย 

แต่คาดจะมีรายการพิเศษเกิดขึ้นจากการขาย AEPL ราว 750 ล้านบาท แต่จะมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทแข็งค่า -403 ล้านบาท ทำให้คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,787 ล้านบาท เพิ่ม +132% y-y แต่หดตัว -12% q-q  

“เป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกกลุ่มโรงไฟฟ้าที่เรายังชอบจากการดำเนินงานที่กลับมาฟื้นตัว ประกอบกับผลกระทบอื่น ๆ ดูคลี่คลายลง และยังได้ผลบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงหนุนให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงด้วย ขณะที่ในส่วนงานใหม่ ๆ อาจได้บริหารงานโรงไฟฟ้าเพิ่มจากกลุ่ม PTT ตามการปรับโครงสร้างธุรกิจ แม้ upside จากราคาเหมาะสมเหลือไม่มาก แต่เราแนะนำเก็งกำไรได้จากภาพอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น และคาดงบไตรมาส 3/68 ยังเติบโต y-y ได้ดี”