KTB บวกนำกลุ่มแบงก์ 2.91% กำไรพุ่งรับรายได้ค่าธรรมเนียม นักลงทุนแห่ซื้อกองทุนเพิ่ม

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 KTB เป็นผู้นำกลุ่มบวก 2.91% มาอยู่ที่ราคา 26.50 บาท โบรกเผย ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารเติบโตดีเยี่ยม โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ดี รายได้จากธุรกิจกองทุนรวมทำได้ดีมาก เนื่องจากนักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสินทรัพย์ประเภทอื่นปรับตัวขึ้นสูง
KEY
POINTS
- หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 โดยมี KTB เป็นผู้นำกลุ่มบวก 2.91% มาอยู่ที่ราคา 26.50 บาท
- ผลประกอบการของกลุ่มธนาคารเติบโตดีเยี่ยม โดยมีปัจจัยหลักจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ดี
- รายได้จากธุรกิจกองทุนรวมทำได้ดีมาก เนื่องจากนักลงทุนหันมาลงทุนในกองทุนเพิ่มขึ้น หลังจากสินทรัพย์ประเภทอื่นปรับตัวขึ้นสูง
- ปัจจัยอื่นที่ช่วยหนุนกำไร ได้แก่ การควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น และการตั้งสำรองหนี้ที่ลดลงจากการควบคุม NPL ที่มีประสิทธิภาพ
ความเคลื่อนไหว"ตลาดหุ้นไทย"ภาคเช้า ณ วันที่ 22 ต.ค.2568 เวลา 10.05 น.หุ้นกลุ่มธนาคารบวกต่อเป็นวันที่ 5 นำโดย
- หุ้น KTB บวก 2.91% เพิ่มขึ้น 0.75 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 26.50 บาท
- หุ้น BBL บวก 2.57% เพิ่มขึ้น 4.00 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 159.50 บาท
- หุ้น KBANK บวก 1.97% เพิ่มขึ้น 3.50 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 181.00 บาท
- หุ้น CREDIT บวก 0.59% เพิ่มขึ้น 0.10 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 17.00 บาท
ธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล. พาย ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้สิ่งที่ช่วยให้ผลประกอบการของธนาคารออกมาดีเยี่ยมจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นพระเอกของไตรมาสนี้ และทำผลงานได้ดีมาก
โดยรายได้ดังกล่าวมาจากสองส่วนหลัก 1.ธนาคารมีรายได้ค่าธรรมเนียมที่ดี และ 2.รายได้จากธุรกิจกองทุนรวมทำได้ดีมาก ซึ่งอาจเป็นผลมาจากช่วงรอยต่อของไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3/68 ที่สินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้นต่างประเทศและทองคำ มีการปรับตัวขึ้นมาสูงมาก ทำให้นักลงทุนบางส่วนหันไปลงทุนในกองทุนรวม
นอกจากนี้ หลายธนาคารยังรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุน รวมถึงกำไรทางบัญชีที่รับรู้ผ่านการลงทุนในตราสารหนี้ หรือหุ้นไทยและหุ้นนอกประเทศ ซึ่งมีการปรับตัวดีขึ้นมาก ควบคุมค่าใช้จ่ายและการตั้งสำรอง
อีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้กำไรของธนาคารออกมาดี นั่นคือการควบคุมและลดค่าใช้จ่ายถูกลดลงไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางธนาคารมีการปิดสาขา การลดจำนวนพนักงาน และการนำระบบ AI เข้ามาช่วยในการทำงาน
ขณะที่การตั้งสำรองหนี้ลดลง เนื่องจากธนาคารสามารถควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ได้ แม้ว่ารายได้จากสินเชื่อจะไม่เติบโต แต่การลดสำรองหนี้ลงก็สามารถช่วยผลักดันกำไรได้
"กำไรของกลุ่มธนาคารออกมาดี โดยมีการเติบโตที่ 9% ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมาเป็นผลมาจากการที่นักวิเคราะห์มีการปรับเพิ่มประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายให้สูงขึ้น พร้อมทั้งมีการคาดการณ์ว่าเงินปันผลที่จะมีการจ่ายในปีนี้น่าจะมีการเพิ่มขึ้นด้วย"
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังงบประมาณประกาศในไตรมาส 3/68 ทำให้ upside ของหุ้นในขณะนี้เริ่มมีจำกัด แต่ทว่าการปรับเพิ่มขึ้นของธนาคารมาจากการดำเนินงานที่ดี แม้จะไม่ได้มาจากสินเชื่อโดยตรง แต่มาจากส่วนงานอื่น ๆ เช่น รายได้ค่าธรรมเนียม การลดค่าใช้จ่าย และการควบคุม NPL ที่ทำได้ดี
ทั้งนี้ มองว่า โอกาสที่ราคาจะมีการปรับตัวลงยังมีอยู่ แต่หากมีการปรับตัวลงก็ยังถือว่าน่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำให้ "ถือ" เอาไว้และยังไม่จำเป็นต้องขายหากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมามาก อาจรอจังหวะการย่อตัวเพื่อเข้าสะสม
เนื่องจากผลงานที่ออกมาน่าจะทำให้การย่อตัวเป็นโอกาสที่น่าสนใจในการเก็บสะสมในระยะยาวยังคงมีความน่าสนใจเพื่อรับเงินปันผลที่คาดว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว โดย หุ้น Top Pick ที่แนะนำยังคงเป็น KTB และ SCB







