‘JV AMC’ หนุนกลุ่มนอนแบงก์ โบรกชี้ เปิดโอกาสขยายธุรกิจ ดันธนาคารเร่งระบาย ‘หนี้เสีย’

‘JV AMC’ หนุนกลุ่มนอนแบงก์  โบรกชี้ เปิดโอกาสขยายธุรกิจ ดันธนาคารเร่งระบาย ‘หนี้เสีย’

ธปท. ขับเคลื่อนนโยบาย “เจวี เอเอ็มซี” เปิดทาง “นอนแบงก์” ร่วมบริหาร “หนี้เสีย” คาดหนุน “กลุ่มนอนแบงก์” รับประโยชน์ชัดเจน “บล.เอเซีย พลัส” ชี้ช่วยกลไกบริหารจัดการหนี้ที่คล่องตัวขึ้น “บล.หยวนต้า” ยกกลุ่มนอนแบงก์ได้ประโยชน์ “บล.พาย” มองความท้าทายด้าน “เงินทุน-ต้นทุนสูง” แนะรัฐบาลต้องมีมาตรการชดเชย หากต้องการผลักดันสำเร็จ

KEY

POINTS

  • นโยบายจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) ของธปท. เปิดโอกาสให้กลุ่มนอนแบงก์สามารถเข้าร่วมบริหารหนี้เสีย (NPL) ได้ ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มนอนแบงก์ปลดภาระหนี้ออกจากงบดุลได้โดยตรง
  • โบรกเกอร์มองว่านโยบายนี้จะช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารจัดการและนำหนี้เสียออกจากงบดุลได้คล่องตัวขึ้น ทำให้สามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อใหม่ได้โดยไม่ต้องกังวลภาระหนี้เสีย
  • การจัดตั้ง JV AMC ถือเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ เช่น BAM และ JMT สามารถขยายพอร์ตการบริหารหนี้ได้มากขึ้น
  • กลุ่มนอนแบงก์ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุดคือกลุ่มที่มีพอร์ตหนี้ไม่มีหลักประกันจำนวนมาก เช่น AEONTS, KTC และกลุ่มสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์
  • บล.พาย ชี้ว่าการจัดตั้ง JV AMC ยังมีความท้าทายด้านเงินทุนและต้นทุนที่สูงสำหรับธนาคาร และเสนอว่ารัฐบาลอาจต้องมีมาตรการชดเชยเพื่อผลักดันนโยบายให้สำเร็จ

จากกรณี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อเปิดทางให้กลุ่มนอนแบงก์เข้าร่วมบริหารหนี้เสีย (NPL) ได้คล่องตัวขึ้น มองเป็นแรงหนุนสำคัญต่อภาคการเงิน โดยเฉพาะ BAM และ JMT ที่มีแนวโน้มขยายพอร์ตบริหารหนี้ ขณะเดียวกันยังช่วยให้กลุ่มนอนแบงก์ ได้ประโยชน์โดยตรงจากการปลดภาระหนี้ออกจากงบดุล

‘JV AMC’ หนุนกลุ่มนอนแบงก์  โบรกชี้ เปิดโอกาสขยายธุรกิจ ดันธนาคารเร่งระบาย ‘หนี้เสีย’

นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจิรญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การขยายโอกาสให้กลุ่ม non-bank สามารถร่วมตั้ง JV AMC ได้ ถือเป็นการปรับปรุงจากนโยบายรอบก่อนที่อนุญาตให้เฉพาะธนาคารพาณิชย์จับมือกับ AMC เท่านั้น ปัจจุบันมี JV AMC ที่จัดตั้งขึ้นแล้ว 3 แห่ง ได้แก่ BAM ร่วมกับ ธนาคารออมสิน, BAM ร่วมกับ KBANK, และ JMT ร่วมกับ KBANK ซึ่ง KBANK ถือเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่มี JV AMC ถึง 2 แห่งแล้ว และคาดว่าธนาคารขนาดใหญ่อื่น ๆ ที่ยังไม่มี JV AMC อาจเป็นผู้เล่นหลักที่เข้ามาในรอบนี้

ทั้งนี้ ประโยชน์หลักของการมี JV AMC คือการเพิ่มช่องทางให้ธนาคารสามารถบริหารจัดการ NPL และนำหนี้เสียออกจากงบดุลได้อย่างคล่องตัวสูงกว่าการขายให้ผู้อื่น เนื่องจาก JV AMC มีความคล่องตัวในการดำเนินงานสูงกว่า และยังช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกลับมาปล่อยสินเชื่อได้โดยไม่ต้องกังวลภาระหนี้เสีย และคาดว่าจะเห็นการปล่อยสินเชื่อที่เติบโตสอดคล้องกับ GDP ไทยในปีหน้า การเพิ่มขึ้นของผู้เล่นในตลาดซื้อหนี้เสีย หรือ JV AMC ยังช่วยในเชิงของราคาขาย NPL ทั้งระบบด้วย

นายตฤณ สิทธิสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า การจัดตั้ง JV AMC ที่มีการจับคู่ที่ลงตัว จะเป็นผลดีต่อการบริหารจัดการหนี้เสียในระบบ โดย JV AMC แตกต่างจากการตั้ง AMC ทั่วไป เพราะเป็นการร่วมมือระหว่าง AMC กับธนาคารเพื่อดูแลพอร์ตหนี้ของธนาคารนั้น ๆ โดยธนาคารจะเข้ามาถือหุ้นร่วมและมีการแบ่งรายได้และกำไรกัน ทำให้ธนาคารสามารถขายหนี้ในราคาที่ถูกกว่าปกติ หรือมีปริมาณการขายที่สูงกว่าการปล่อยให้ AMC ประมูลแข่งกันตามปกติ

สำหรับการดำเนินการในอดีตนั้น มีความไม่ลงตัวทำให้มี JV AMC เกิดขึ้นเพียง 2 แห่ง แต่หากมาตรการรอบใหม่นี้มีการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ที่จูงใจให้ผู้ประกอบการทำ JV AMC มากขึ้น ก็คาดว่าจะมีการร่วมทุนเพิ่มขึ้น

ขณะที่ มาตรการ JV AMC รอบใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มนอนแบงก์ด้วยเช่นกัน เนื่องจาก ธปท. มีความต้องการที่จะระบายหนี้ในฝั่งนอนแบงก์ โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน (สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์และสินเชื่อส่วนบุคคล/บัตรเครดิต) โดยคาดว่าAEONTSที่มีพอร์ตหนี้ไม่มีหลักประกันจำนวนมาก จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด รองลงมาคือKTCและกลุ่มที่ปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ เช่น SAWAD, MTC, TIDLOR

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล. พาย กล่าวว่า แนวโน้มและความท้าทายการจัดตั้ง JV AMC ต้องพิจารณาในด้านข้อกฎหมายและผลตอบแทนทางธุรกิจอย่างถี่ถ้วน แต่ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้มีการจัดตั้ง AMC โดยมีการจัดตั้งมาตั้งแต่ยุควิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 แล้ว 

สำหรับ AMC ของรัฐ หลัก ๆ คือ BAM และ SAM ซึ่งมักจะเน้นสินเชื่อที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้านและสินเชื่อรถยนต์ ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิตนั้น AMC ของรัฐจะไม่ค่อยเก่ง จะเป็นกลุ่มอย่าง JMT

ทั้งนี้ สาเหตุที่ธนาคารต้องจับมือกับผู้ประกอบการภายนอก เช่น KBANK กับ JMT หรือ KBANK กับ BAM เป็นเพราะว่า ธนาคารไม่เก่งเรื่องการติดตามหนี้ การติดตามหนี้ต้องใช้คนจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นเรื่องสิ้นเปลือง เนื่องจากระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ยังไม่สามารถใช้ในการติดตามหนี้ได้ เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการออกกฎหมายมาเพื่อทำให้การจัดตั้ง JV AMC จะช่วยให้ธนาคารสามารถติดตามหนี้ได้ แต่ปัญหาหลักคือ ต้นทุนสูง

สำหรับธนาคารพาณิชย์ หากมองในมุมธุรกิจแล้ว การจัดตั้ง JV AMC ไม่น่าสนใจ เพราะกำไรธนาคารเริ่มน้อยลง และธนาคารไม่ได้เก่งเรื่องการตามหนี้ ธนาคารจะเลือกที่จะหาเงิน พัฒนาระบบ IT หรือสร้างลูกค้าใหม่ได้ดีกว่า หากรัฐบาลต้องการให้การจัดตั้ง JV AMC ประสบความสำเร็จ รัฐบาลอาจจะต้องมีการชดเชยความเสียหาย