‘เจนนี่ฟีเวอร์’ ไม่สะเทือนค้าปลีก ฉุด ‘สื่อดั้งเดิม’ วูบ รับเม็ดเงินโฆษณาหนี

นักวิเคราะห์มองว่าปรากฏการณ์ "เจนนี่ฟีเวอร์" ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เนื่องจากมีการปรับตัวเข้าสู่ช่องทางอีคอมเมิร์ซมานานแล้ว และจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นซึ่งแข่งขันได้ยาก
KEY
POINTS
- นักวิเคราะห์มองว่าปรากฏการณ์ "เจนนี่ฟีเวอร์" ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกรายใหญ่ เนื่องจากมีการปรับตัวเข้าสู่ช่องทางอีคอมเมิร์ซมานานแล้ว และจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นซึ่งแข่งขันได้ยาก
- กลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากกระแสไลฟ์สดขายของคือ "สื่อดั้งเดิม"
- สาเหตุที่สื่อดั้งเดิมได้รับผลกระทบคือเม็ดเงินโฆษณาได้เปลี่ยนทิศทางจากการจ้างพรีเซนเตอร์ในสื่อกระแสหลัก ไปสู่การใช้การตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้รายได้โฆษณาของสื่อดั้งเดิมลดลงอย่างมาก
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล ภายใต้กระแส “การไลฟ์สดขายของ” กลับมา “คึกคัก” อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา สร้างกระแสการจับจ่ายในวงกว้าง
สอครับในมุมมองของ “นักวิเคราะห์” ระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับ “ผู้ประกอบการรายใหญ่” ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะมีการปรับตัวเข้าสู่ “อีคอมเมิร์ซ” นานแล้ว แต่กลับเป็น “โอกาสทอง” สำหรับ “ผู้ค้ารายย่อย” ที่สามารถใช้ช่องทางไลฟ์สดและการตลาดผ่าน “อินฟลูเอนเซอร์” ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การเติบโตของการตลาดแบบอีคอมเมิร์ซในช่วงหลังมาแรงในรูปแบบ Affiliate Marketing ซึ่งกรณีของเจนนี่ฯ ไม่กระทบต่อกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคประจำวันของยักษ์ใหญ่อย่าง CPALL หรือ CPAXT เนื่องจากสินค้าส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ผู้คนต้องกินต้องใช้ หรืออาหารสดที่คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้ยาก
ในทางกลับกัน ปรากฏการณ์นี้กลับกลายเป็น “โอกาสทอง” สำหรับผู้ค้ารายย่อยและเจ้าของผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง ที่สามารถใช้ช่องทางไลฟ์สดและการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์ในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้อย่างชัดเจน ดังเช่นกรณีของ MGI (บมจ.มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล) ซึ่งมีโมเดลธุรกิจเป็นผู้ขายของ และ 88TH ที่นำสินค้าไปร่วมไลฟ์ขายกับเจนนี่ฯ และส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังระบุถึงกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด นั่นคือ กลุ่มธุรกิจมีเดียดั้งเดิม เนื่องจากเม็ดเงินโฆษณาได้เปลี่ยนทิศทางจากการจ้างนักแสดงชื่อดังมาเป็นพรีเซนเตอร์ ไปสู่การใช้ Influencer Marketing ในช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อดั้งเดิมลดน้อยลงไปอย่างมาก
“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) มองว่า กระแสไลฟ์สดดังกล่าวอาจมีผลกระทบในเชิงจิตวิทยาต่อกลุ่มค้าปลีกในระยะสั้น และอาจกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในระยะยาว การไลฟ์ผ่าน ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ (Micro-Influencer) หรือบุคคลที่มีอิทธิพลเฉพาะกลุ่ม เช่น เจนนี่ฯ จะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่กลุ่มค้าปลีกแบบดั้งเดิมอาจต้องเร่งปรับตัว
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ชี้ว่า การขายผ่านช่องทางออนไลน์มีมาอยู่แล้ว แม้ครั้งนี้จะมีวอลุ่มการขายที่สูงมาก แต่สินค้าที่ถูกขายอาจเป็นคนละกลุ่มผลิตภัณฑ์กับที่รายใหญ่ดำเนินการอยู่ และรายใหญ่ได้มีการปรับตัวมานานแล้วผ่านบริการ 7-Eleven delivery หรือแม็คโครที่ขายผ่านออนไลน์ ซึ่งมีแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง
ดังนั้น ปรากฏการณ์นี้จึงเป็นเพียงการ “จุดประกาย” ที่ทำให้บริษัทใหญ่ๆ เห็นลูกเล่นและโอกาสในการขายช่องทางออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของกลุ่มค้าปลีกที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่แต่อย่างใด







