จับตา ‘หุ้นเวียดนาม’ แรงเสี่ยงผันผวน นักวิเคราะห์ชี้ยังไม่ถึง ‘ภาวะฟองสบู่’

กูรูเผย หุ้นเวียดนามยกระดับสู่ดัชนี FTSE Emerging Market แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจถูกเลื่อนกำหนดการในการทบทวนครั้งสุดท้าย ซึ่งจะสร้างความผันผวนเป็นระยะได้ โอกาสเกิดภาวะฟองสบู่ในช่วง 1-3 ปีนี้ยังมีน้อย และระดับราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่ถือว่าสูงเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
KEY
POINTS
- ตลาดหุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูงเป็นปกติ โดยอาจเคลื่อนไหวบวกลบได้ถึง 2-3% ต่อวัน เนื่องจากยังเป็นตลาดชายขอบ (Frontier Market) และมีระบบป้องกันความเสี่ยงที่ไม่รัดกุม
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าโอกาสเกิดภาวะฟองสบู่ในช่วง 1-3 ปีนี้ยังมีน้อย และระดับราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่ถือว่าสูงเกินไปเมื่อเทียบกับพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
- ความเสี่ยงที่น่ากังวลคือการใช้ "บัญชีมาร์จิน" ที่อาจเป็นเหมือน "ระเบิดเวลา" ซึ่งหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด อาจนำไปสู่การบังคับขายหุ้น (Forced Sell) และทำให้ตลาดปรับตัวลงรุนแรง
- ความผันผวนยังอาจเกิดจากนโยบายของรัฐบาลเวียดนาม ที่อาจเข้ามาควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนหากมองว่าตลาดร้อนแรงเกินไป
- แม้จะมีแนวโน้มได้ยกระดับสู่ดัชนี FTSE Emerging Market แต่ยังมีความเสี่ยงที่อาจถูกเลื่อนกำหนดการในการทบทวนครั้งสุดท้าย ซึ่งจะสร้างความผันผวนเป็นระยะได้
“ตลาดหุ้นเวียดนาม” กำลังถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังมีแนวโน้มสูงว่าจะได้รับการยกระดับสู่ดัชนี FTSE Emerging Market ภายในปี 2569 ซึ่งอาจเป็นเส่น่ห์ดึงดูด “เงินลงทุนต่างชาติ” (Fund Flow) เข้าหลาย “พันล้านดอลลาร์” แม้ว่าตลาดหุ้นเวียดนามจะเนื้อหอมด้วยปัจจัยสนับสนุนในพื้นฐานเศรษฐกิจแข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นยังมี “ความผันผวนสูง” และ “ระบบป้องกันความเสี่ยงไม่รัดกุม” โดยเฉพาะการซื้อขายหุ้นด้วย “บัญชีมาร์จิน” ที่อาจจะเหมือน “ระเบิดเวลา” หากมีเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุม จะทำให้เกิดเหตุการณ์ Forced sell หรือ “การบังคับขายหุ้น” ได้
“หุ้นเวียดนาม” ยังไม่แพง แต่ต้องระวัง “ผันผวน”
นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า การเข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging Market ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความน่าสนใจในการลงทุนในเวียดนาม เนื่องจากกองทุน Passive Fund ที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ภายใต้ดัชนี FTSE Emerging Market จะต้องจัดสรรสัดส่วนการลงทุนเข้ามาในเวียดนาม โดยคาดการณ์ว่าจะมีผลในเดือน ก.ย. ปีหน้า ซึ่งอาจจะดึงดูดเม็ดเงินไหลเข้า ได้ประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์ โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่อาจจะเข้าสู่หุ้นขนาดใหญ่เท่านั้น
“แม้ว่า FTSE จะเป็นสัญญาณแรกของการยกระดับตลาดหุ้นเวียดนาม แต่ก้าวต่อไปที่สำคัญกว่า ซึ่งเวียดนามต้องการบรรลุคือการเข้าสู่ดัชนี MSCI Emerging Market เนื่องจากดัชนี MSCI ได้รับการยอมรับในระดับโลกที่กว้างขวางกว่า กองทุนทั่วโลกจำนวนมากมักใช้ MSCI เป็นเกณฑ์มาตรฐาน Benchmark หากเวียดนามสามารถเข้าสู่ MSCI EM ได้ อาจมีเม็ดเงินไหลเข้าสูงถึง 25,000 ล้านดอลลาร์”
ทั้งนี้ โอกาสที่จะเกิดภาวะฟองสบู่อาจจะยังไม่เกิดในช่วง 1-3 ปีนี้ แต่ความผันผวนสามารถเกิดขึ้นได้ทุกปีในตลาดหุ้นเวียดนาม รวมถึงระบบการป้องกันการใช้มาร์จิ้นที่ไม่แข็งแกร่ง และตลาดไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับตลาดพัฒนาแล้ว เมื่อมีการใช้มาร์จิ้นในการเทรดมาก และเจอข่าวลบก็มีโอกาสที่จะถูก Forced Sell ทำให้ตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรง
ดังนั้น การเคลื่อนไหวของตลาดเวียดนามที่บวกหรือลบ 2-3% ต่อวัน จึงเป็นเรื่องปกติ แต่นักลงทุนควรจำกัดการกระจายการลงทุนในเวียดนามไว้ไม่เกิน 10% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของเวียดนามยังคงเติบโตได้ในระดับ 5-6% และคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะยังคงเติบโตได้ดีในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานที่ฐานการผลิตยังเติบโตต่อเนื่องได้ ณ ปัจจุบัน ระดับราคาของตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่ถือว่าสูงเกินไป
เข้า FTSE มีผลในเชิงจิตวิทยาและความเชื่อมั่น
นายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา กล่าวว่า ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากใมาจากปัจจัยที่ตลาดรับรู้ว่า มีโอกาสสูงมาก ๆ ที่จะเข้าสู่ Emerging Market แม้จะมีการประกาศการเข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging Market แล้วก็ตาม แต่เงินทุนแบบ Passive Fund ที่จะไหลเข้าลงทุนใน ETF อย่างเป็นทางการนั้น จะเกิดขึ้นจริงในเดือน ก.ย.ปี 2569
ดังนั้น ผลกระทบจากการคำนวณดัชนีโดยตรงจึงจะลดน้อยลงหลังจากนี้ เพราะการเข้าสู่ดัชนี FTSE ในครั้งนี้มีผลในเชิงของจิตวิทยาและความเชื่อมั่นเป็นหลักมากกว่าผลกระทบจากเงินทุนโดยตรง ทั้งนี้ ผลกระทบต่อ Fund Flow จากการเข้า FTSE คาดว่าจะมีมูลค่าเพียง 30,000-40,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณการซื้อขายเพียงแค่ประมาณ 1-2 วัน
ทั้งนี้ หากเวียดนามต้องการให้ตลาดสามารถดีดตัวขึ้นได้อย่างแรงมาก ๆ จากการเข้า Emerging Market อย่างแท้จริง จะต้องไปรอรอบของ MSCI ที่จะมีการพิจารณาอีกครั้ง เนื่องจากดัชนี MSCI Emerging Market มีกองทุน Passive Fund ที่อ้างอิงอยู่มากกว่า FTSE อย่างมาก แต่การเข้าสู่ MSCI มีเงื่อนไขและมาตรฐานที่สูงกว่าตัว FTSE
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเวียดนามยังต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี หรือรอบของการลงทุนใน AI Infrastructure ยังคงอยู่ในระดับที่สูง รัฐบาลเวียดนามมีความต้องการผลักดัน Digital Economy อย่างจริงจัง โดยมีการสนับสนุนและยังต้องการให้ผู้ลงทุนให้เข้ามาตั้ง Data Center และดำเนินการลงทุนในส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่การเติบโตของบริษัทในเวียดนามจะเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยวที่ขณะนี้จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว นอกจากนี้ เวียดนามยังถูกเปรียบเทียบในเชิงของมูลค่าที่ยังไม่สูงมาก ยิ่งไปกว่านั้นรัฐบาลเวียดนามยังให้การสนับสนุนการลงทุนใน Infrastructure และในไตรมาส 2/68 ที่ผ่านมา ยังมีการปรับโครงสร้างรัฐบาลภายใน ลดหน่วยงานลง และทำให้สามารถประหยัดงบประมาณไปได้ค่อนข้างมาก ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงบวกความเสี่ยงและการปรับฐานในระยะสั้นได้ หากตลาดเอเชียหรือตลาดโลกมีการปรับฐานลง ตลาดเวียดนามก็อาจปรับตัวลงแรงได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี หากรัฐบาลยังคงสามารถผลักดันธีมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและ Digital Economy ได้อย่างต่อเนื่อง การปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนามก็ไม่น่าจะรุนแรง หลังจากมีการประกาศการเข้าร่วมดัชนีอย่างเป็นทางการ
“ตลาดหุ้นเวียดนามคือการเป็น Strategic Holding หมายถึง ยังคงแนะนำให้ถือต่อ และหากราคาปรับย่อลงมาก็ควรซื้อเพิ่ม แต่ควรมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดเวียดนามประมาณ 20% ของพอร์ตการลงทุน”
“หุ้นเวียดนาม” ยังเสี่ยง เพราะขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐ
ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและเศรษฐกิจ CFP กล่าวว่า การประกาศของ FTSE Russell ถือว่ามีความชัดเจน และเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นเวียดนาม โดยการเปลี่ยนสถานะเป็น Emerging Market จะมีผลอย่างเป็นทางการในเดือนก.ย.ปีหน้า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการอนุมัติแล้ว แต่ยังคงมีจุดสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาดู FTSE Russell จะมีการทบทวนครั้งสุดท้าย ซึ่งจะเกิดขึ้นในเดือน มี.ค.ปีหน้า
“ตลาดหุ้นเวียดนามตอนนี้ได้รับ sentiment เชิงบวกค่อนข้างมากแล้ว และหากการทบทวนในเดือนมี.ค.ปีหน้า ยืนยันตามเดิม โดยคาดว่าสถาบันการลงทุนจะทยอยสะสมหุ้นเวียดนาม หากเวียดนามได้เป็น Emerging Market อย่างแท้จริง ก็จะมีอัพไซด์อยู่ในระดับที่พอสมควร โดยภาพรวมในอนาคต 1 ปีข้างหน้า เทรนด์ใหญ่ของตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นบวก”
ทั้งนี้ นักลงทุนควรเผื่อกรณีที่อาจจะมีการทบทวนในเดือนมี.ค.ปีหน้า อาจมีการตัดสินใจเลื่อนการเปลี่ยนสถานะจากเดือน ก.ย.ปีหน้าออกไป ซึ่งเคยมีประวัติการเลื่อนมาก่อน โดยให้ระวังความผันผวนเป็นระยะ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามยังคงเป็น Frontier Market อยู่ ทำให้ความผันผวนในตลาดยังอยู่ในระดับสูง และการเข้าลงทุนของสถาบันยังคงถูกจำกัดอยู่ ไม่เหมือนกับ Emerging Market ประเทศอื่น นอกจากนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังต้องขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาล บางครั้งรัฐบาลอาจต้องการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนเมื่อมองว่าตลาดร้อนแรงเกินไป คล้ายกับกรณีของจีน ซึ่งการดำเนินการเช่นนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นมีการแกว่งตัวตามนโยบายของรัฐบาลในบางจังหวะ
“FTSE Russell เป็นดัชนีที่กองทุนหรือ บลจ. รายใหญ่ของโลกใช้ในการออกผลิตภัณฑ์ ส่งผลต่อแรงกดดันสำคัญให้ MSCI ต้องขยับตาม ในฐานะที่เป็นการแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการดัชนีด้วยเช่นกัน”
4 กลุ่มตลาดหุ้นทั่วโลก
ทั้งนี้ FTSE Russell จัดกลุ่มตลาดหุ้นทั่วโลกแบ่งเป็น 4 กลุ่มหลักๆ คือ 1. ตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Markets) 2. ตลาดเกิดใหม่ขั้นสูง (Advanced Emerging Markets) 3. ตลาดเกิดใหม่รอง (Secondary Emerging Markets) และ 4. ตลาดชายขอบ (Frontier Markets)
ปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทย มาเลเซีย ไต้หวัน อยู่ในกลุ่ม Advanced Emerging Markets ในขณะที่ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ อยู่ในกลุ่ม Secondary Emerging Markets
เวียดนามขอ 5 ปี ขยับชั้นต่อใน MSCI
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แม้เวียดนามจะคว้าสถานะตลาดเกิดใหม่จาก FTSE แต่การได้อัปเกรดจาก MSCI Inc. ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดัชนีอีกรายที่ทรงอิทธิพลกว่า ยังเป็นโจทย์ที่ยากและท้าทายกว่า
เป้าหมายต่อไปของเวียดนาม คือ ได้รับการอัปเกรดจาก MSCI ภายในปี 2573 ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่าต้องยกเลิกข้อจำกัดการถือหุ้นต่างชาติในภาคส่วนยุทธศาสตร์ ปรับปรุงกฎระเบียบซื้อขายให้ชัดเจน เปิดเผยข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ MSCI
ขณะที่ ปีนี้เวียดนามได้แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการเปิดตลาดรับนักลงทุนต่างชาติ เช่น ยกเลิกข้อกำหนดให้ต้องวางเงินล่วงหน้าก่อนซื้อขายหุ้น, เพิ่มเพดานสัดส่วนถือหุ้นต่างชาติในธนาคารบางแห่ง และวางแผนจัดตั้งระบบ Centralized Clearing System ภายในปี 2570 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่ายังมีอุปสรรคสำคัญหลายประการที่ต้องแก้ไขต่อไป
ธนาคารโลกประเมินว่า หากเวียดนามได้รับการอัปเกรดเป็นตลาดเกิดใหม่จากทั้ง FTSE และ MSCI ได้สำเร็จ อาจมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าสุทธิถึง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 ขณะที่กองทุน Dragon Capital ระบุในรายงานเดือนมิ.ย.ว่า ปัจจุบันมีสินทรัพย์ราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ที่อ้างอิงกับดัชนี MSCI Emerging Markets Index







