เจ๊กกี้-สุธน เผย หุ้นไทยโตช้ากว่าหุ้นโลก จีน เวียดนาม ญี่ปุ่น สหรัฐฯ วิ่งแรง แนะรัฐต้องเร่ง 'ปลดล็อก'

เจ๊กกี้ เผย ตลาดหุ้นไทยเติบโตช้าและเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด สวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม ที่กำลังฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
KEY
POINTS
- สุธน สิงหสิทธางกูร ชี้ว่าตลาดหุ้นไทยเติบโตช้าและเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด สวนทางกับตลาดหุ้นทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม ที่กำลังฟื้นตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
- ปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยคือโครงสร้างเศรษฐกิจที่ขาดอุตสาหกรรมอนาคตอย่างเทคโนโลยี, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, การแข่งขันในภาคท่องเที่ยวที่เสียเปรียบเวียดนาม และผลกระทบจาก E-commerce จีน
- นโยบายการเงินของไทยที่ลดดอกเบี้ยไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผล ("ปั๊มไม่ขึ้น") ต่างจากเวียดนามที่เห็นผลชัดเจนหลังลดดอกเบี้ย
- นโยบายภาครัฐของไทยยังเสียเปรียบในการแข่งขัน เช่น การเก็บภาษีเงินปันผล 10% ในขณะที่จีนและเวียดนามไม่มีการเก็บภาษีในส่วนนี้ ทำให้นักลงทุนขาดแรงจูงใจ
- ข้อเสนอแนะคือรัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการเพื่อ "ปลดล็อก" ปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เพื่อให้ตลาดหุ้นไทยสามารถกลับมาเติบโตได้
ท่ามกลางกระแสฟื้นตัวของตลาดทุนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือเวียดนามที่ต่างเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง ตลาดหุ้นไทยกลับยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัดและขาดแรงขับเคลื่อนจากภาคเศรษฐกิจจริง ปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง โครงสร้างเศรษฐกิจที่ขาดอุตสาหกรรมอนาคต รวมถึงแรงกดดันจากการแข่งขันของ E-commerce ต่างชาติ ล้วนเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของตลาดทุนไทย
สุธน สิงหสิทธางกูร (เจ๊กกี้) กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนต่างประเทศ สมาคมนักลงทุนประเทศไทย เปิดเผยกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญปัญหาการถูกดูดซับสภาพคล่องจากสินทรัพย์อื่น ทำให้หุ้นไทยขาดการเติบโต จึงทำให้ดัชนีไปไม่ไหว หากตลาดจะไปไหวจริงๆ หุ้นใน SET 50 และ SET 100 จะต้องมีการสะสม และขึ้นไปได้ถึง 5 เด้งใน 5 ปี หรือ 3 เด้งใน 5 ปี
ทั้งนี้ ปัจจุบันพื้นฐานของธุรกิจไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล สนามบิน และท่องเที่ยว ซึ่งขาดกลุ่มที่เป็นตัวขับเคลื่อนอนาคต โดยเฉพาะการขาดกลุ่มเทคโนโลยีทำให้การเติบโตของประเทศถูกจำกัดและไปไม่ไกล
และในปีนี้ ถูกมองว่าเป็นปีที่หนักที่สุดปีหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายด้าน ได้แก่ ภาคการท่องเที่ยวไทยเสียเปรียบให้เวียดนาม และเมื่อจีนเปิดประเทศ แทนที่ไทยจะได้นักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น กลับกลายเป็นคนไทยที่ไปเที่ยวเมืองจีนมากขึ้น ซึ่งเป็นการดูดนักท่องเที่ยวไป ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนยังมุ่งไปทางมาเลเซีย ญี่ปุ่น และเวียดนามอีกด้วย
ส่วนนโยบายการเงินแม้จะมีการกระตุ้นด้วยการลดดอกเบี้ยแล้ว แต่ก็เหมือนกับว่า "ปั๊มไม่ขึ้น" ตรงกันข้ามกับเวียดนามที่ลดดอกเบี้ยลงมาจากเกือบ 10% เหลือประมาณ 3-4% ซึ่งเห็นผลชัดเจน รวมถึงความไม่แน่นอนของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้งทำให้การเดินหน้าโครงการไม่สุด และเงินจากการใช้จ่ายภาครัฐลงมาไม่ทั่วถึง
และผลกระทบจาก E-commerce ที่ กลุ่มธุรกิจ SME กำลังเผชิญความลำบากอย่างหนัก เนื่องจากการรุกเข้ามาของ E-commerce จากจีนที่ใช้โมเดล Factory-to-Consumer ซึ่งเป็นการตัดพ่อค้าคนกลางและค้าปลีกออกไป อีกทั้งปัญหาค่าขนส่งที่ไทยทำสัญญาไว้ ทำให้ต้องจ่ายมากกว่ารัฐบาลจีน
ทั้งนี้ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยมีปัญหาเรื่องการเติบโต ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับเป็น "ปีทองของการลงทุน" ไม่ว่าจะเป็นหุ้นญี่ปุ่นและสหรัฐต่างทำ All Time High ขณะที่ยุโรป แม้ GDP จะไม่เติบโตในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่ดัชนียังโตได้ถึง 50-60% ขณะที่ เวียดนามและจีน ช่วง 2 ปีนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุด โดยบวกเกือบ 60%
สุธน กล่าวต่อไปว่า ในด้านนโยบายของไทยหากจะแข่งขันกับจีนและเวียดนามได้ ต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนในจีนและเวียดนามหากรับปันผล 10 ล้านบาท จะไม่เสียภาษี ในขณะที่ไทยต้องเสียภาษี 10% ซึ่งทำให้สู้เรื่องนโยบายไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้หุ้นไทยขณะนี้อยู่ในโซนถูก แต่การจะเข้าสู่ขาขึ้นต้องมีคนมาปลดล็อก ซึ่งอาจเป็นกองทุน หรือรัฐบาลใหม่ที่ต้องออกมาตรการที่ช่วยปลดล็อกการลงทุน
"การลงทุนในหลายประเทศจะช่วยให้นักลงทุนมี "ตาทิพย์" สามารถมองเห็นอนาคต และนำเงินลงทุนไปยังจุดที่ทำกำไรได้ด้วยความเสี่ยงต่ำ เช่น กลุ่มค้าปลีกของสหรัฐฯ และจีนมีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีเพราะถูก E-commerce รุกหนัก เป็นต้น"







