โบรกเผย กลุ่มค้าปลีก ยอดขายสาขาเดิมพ้นจุดต่ำสุด เดินหน้าฟื้นแรง รับมาตรการ “คนละครึ่งพลัส”

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่ายอดขายสาขาเดิม (SSS) ของกลุ่มค้าปลีกได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วในไตรมาส 2/2568 และคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/2568 และแนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่า SSS จะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล เช่น โครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการ "คนละครึ่งพลัส"
KEY
POINTS
- บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินว่ายอดขายสาขาเดิม (SSS) ของกลุ่มค้าปลีกได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วในไตรมาส 2/2568 และคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3/2568
- แนวโน้มไตรมาส 4/2568 คาดว่า SSS จะฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาล เช่น โครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการ "คนละครึ่งพลัส"
- โครงการ "คนละครึ่งพลัส" มูลค่า 4.4 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชน 20 ล้านคน โดยให้เงินสนับสนุนการใช้จ่าย 2,000-2,400 บาทต่อคนในช่วง 29 ต.ค. - 31 ธ.ค. 2568
- แม้มาตรการจะจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก แต่ผู้ค้าปลีกสมัยใหม่บางราย เช่น CPAXT, CRC, และ BJC จะได้รับประโยชน์โดยตรงผ่านธุรกิจค้าส่งและร้านโชห่วย ขณะที่ผู้ค้าปลีกทุกรายจะได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น
- คาดการณ์ว่ากำไรของกลุ่มพาณิชย์ในไตรมาส 4/2568 จะเติบโตทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำลังซื้อที่ดีขึ้นและต้นทุนพลังงานที่ลดลง
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ระบุว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ออกมาใหม่จะช่วยให้ sentiment ของตลาดปรับตัวดีขึ้น และส่งผลให้หุ้นในกลุ่มพาณิชย์โดยรวมดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ประเมินว่า SSS (Same-Store Sales Growth) ของกลุ่มพาณิชย์น่าจะผ่านจุดต่ำสุดของปีไปแล้วที่ -4.4% YoY ในไตรมาส 2/2568 โดยคาดว่า SSS ของกลุ่มจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ -2.1% YoY ในไตรมาส 3/2568 สาเหตุหลักที่ SSS ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าคือสภาพอากาศที่กลับคืนสู่ภาวะปกติ (เทียบกับไตรมาส 2/68 ที่มีฝนตกหนักกว่าปีก่อน)
อย่างไรก็ตาม SSS ในไตรมาส 3/68 ยังคงหดตัวเนื่องจากหลายปัจจัยกำลังซื้อและบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ซบเซา เห็นได้จาก ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) ที่ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 32 เดือนในเดือนส.ค. แต่กลับมาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือน ก.ย.2568 หลังมีความชัดเจนทางการเมือง รวมถึง รายได้เกษตรกรที่ลดลง (-12% YoY ในเดือนส.ค.) ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 จากราคาสินค้าเกษตรหลักที่อ่อนตัวลง และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง 13% YoY ใน 3Q68 (เทียบกับ -12% YoY ในไตรมาส 2/68)
นอกจากนี้ เมื่อแบ่งตามประเภทสินค้า SSS ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยคาดว่าจะลดลง 3.3% YoY (ดีขึ้นอย่างมากจาก -8.4% YoY ในไตรมาส 2/68) ซึ่งเป็นผลหลักจากสภาพอากาศที่เป็นปกติที่ช่วยหนุนยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่ม hardline ส่วน SSS กลุ่มสินค้าจำเป็นคาดว่าจะลดลง 1.7% YoY ดีขึ้นเล็กน้อยจาก -1.8% YoY ในไตรมาส 2/68
สำหรับบริษัทรายตัวในไตรมาส 3/68 นั้น CPALL เป็นเพียงบริษัทเดียวในกลุ่มพาณิชย์ที่คาดว่า กำไรปกติจะเติบโต YoY โดยมี SSS ธุรกิจ CVS ที่แข็งแกร่ง (ทรงตัว YoY) และอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้นจากยอดขายอาหารพร้อมทาน ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ คาดว่า SSS จะลดลง เช่น HMPRO คาด SSS ลดลง 5% YoY และ CRC คาด SSS ลดลง 4% YoY
แนวโน้มไตรมาส 4/2568 จากมาตรการรัฐคาดการณ์ว่า SSS ของกลุ่มพาณิชย์จะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4/2568 โดยมีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลไทยที่ได้รับการอนุมัติโครงการเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมูลค่า 2.28 หมื่นล้านบาท รัฐบาลจะเติมเงินเพิ่มเดือนละ 850 บาท ให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.4 ล้านคน ในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2568 รวม 1,700 บาทใน 2 เดือน นอกเหนือจากเงินช่วยเหลือปกติ 300 บาท/เดือน เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งผู้ถือบัตรสามารถใช้เงินซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านค้าประชารัฐและร้านธงฟ้าที่เข้าร่วมโครงการ
ขณะที่ โครงการ คนละครึ่งพลัส มูลค่า: 4.4 หมื่นล้านบาท ตั้งเป้าช่วยเหลือประชาชนชาวไทย 20 ล้านคน (ไม่รวมผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) ผู้เข้าร่วมโครงการที่ไม่เสียภาษี 9 ล้านคน ได้รับ 2,000 บาท ร่วมจ่าย 50:50 และผู้เสียภาษี 11 ล้านคน ได้รับ 2,400 บาท ร่วมจ่าย 60:40 โดยมีวงเงินใช้จ่ายสูงสุด 200 บาทต่อวัน ระยะเวลาเริ่มตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค.ถึง 31 ธ.ค.2568 และอนุญาตให้ใช้กับบริการส่งอาหาร ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ย. ถึง 31 ธ.ค.2568
นอกจากนี้ จำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดเล็กในท้องถิ่นและผู้ประกอบการ SME ที่ลงทะเบียนเท่านั้น (ไม่รวมร้านค้าปลีกสมัยใหม่) ไม่สามารถใช้ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และสลากกินแบ่งรัฐบาลได้
แม้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่นี้จะจำกัดเฉพาะร้านค้าขนาดเล็ก ประเมินว่าจะมีผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงบางส่วน CPAXT ผ่านธุรกิจค้าส่ง (B2B) CRC ผ่านธุรกิจ Go Wholesale คิดเป็น 3% ของยอดขาย BJC ผ่านร้านโดนใจ ร้านโชห่วยสมัยใหม่, คิดเป็น 2% ของยอดขาย
ในส่วนของผลประโยชน์ทางอ้อมนั้น ผู้ประกอบการค้าปลีกทุกรายจะได้รับประโยชน์จาก กำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้น จากเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบมากขึ้น โดยเฉพาะในเศรษฐกิจฐานราก
นอกจากนี้ การพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของรัฐบาล (หากมี) เช่น โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือมาตรการลดหย่อนภาษีค่าซื้อสินค้าและบริการ (ซึ่งเคยถูกนำมาใช้ในช่วงปลายปีหรือต้นปีถัดไป) จะช่วยหนุน sentiment ตลาดได้ต่อเนื่อง
สำหรับ ไตรมาส 4/2568 คาดว่ากำไรปกติของกลุ่มพาณิชย์จะเพิ่มขึ้น QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล และเพิ่มขึ้น YoY โดยได้แรงหนุนจากกำลังซื้อและบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากปัจจัยด้านยอดขายแล้ว ต้นทุนด้านอื่นๆ ที่ลดลงก็เป็นปัจจัยสนับสนุนด้วยเช่นกัน ค่าไฟฟ้า รายเดือนในช่วง ก.ย.-ธ.ค. 2568 ลดลง 6% YoY และลดลง 1% จากช่วง พ.ค.-ส.ค. 2568 ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ (ต้นทุนขนส่ง)ลดลง 5% YoY และ 2% MoM ในเดือนต.ค.
โดยแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นเด่นที่ยังคงซื้อขายในราคาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ได้แก่ CPALL, HMPRO, BJC เพื่อลดความเสี่ยงขาลงและยังคงมีโอกาสได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญสำหรับกลุ่มพาณิชย์ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงในนโยบายรัฐบาลและกำลังซื้อ นอกจากนี้ ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย, ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน , การบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์, แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน, และความปลอดภัยของข้อมูล







