เมื่อรัฐหยุด แต่ตลาดไม่หยุด: วิเคราะห์ผลกระทบของ US Government Shutdown ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

เมื่อรัฐหยุด แต่ตลาดไม่หยุด: วิเคราะห์ผลกระทบของ US Government Shutdown ต่อเศรษฐกิจและการลงทุน

บทเรียนจากกว่า 20 ครั้งของ Government Shutdown ชี้ให้เห็นว่า “ตลาดรับได้กับความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง แต่กลัวความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อโดยไร้ทิศทาง” ในระยะสั้น นักลงทุนควรเน้น สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedge assets) เช่น ทองคำ หรือพันธบัตรอายุสั้น ขณะเดียวกัน การกระจายพอร์ตทั่วภูมิภาคและสินทรัพย์ ช่วยลดความผันผวนจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า

KEY

POINTS

  • Government Shutdown เกิดจากสภาคองเกรสไม่อนุมัติงบประมาณ ทำให้หน่วยงานรัฐต้องปิดทำการชั่วคราว โดยครั้งล่าสุดมีสาเหตุจากความขัดแย้งเรื่องงบประมาณสังคมและทหาร
  • จากสถิติในอดีต ช่วงที่เกิด Shutdown ตลาดหุ้น (S&P 500) แทบไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทองคำมักปรับตัวขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงเล็กน้อย
  • แม้มีความผันผวนระยะสั้น แต่ในระยะ 3 เดือนหลัง Shutdown สิ้นสุด ตลาดหุ้น S&P 500 และราคาทองคำมักให้ผลตอบแทนเป็นบวกโดยเฉลี่ย สะท้อนว่าตลาดสามารถฟื้นตัวได้
  • ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ (GDP) มักเป็นเพียงชั่วคราวและฟื้นตัวได้ในไตรมาสถัดไป แต่ Shutdown ครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงขึ้นจากภาวะหนี้สาธารณะและดอกเบี้ยที่สูง
  • สำหรับนักลงทุน เหตุการณ์นี้ถือเป็นความผันผวนระยะสั้น โดยแนะนำให้เน้นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง เช่น ทองคำ และกระจายการลงทุนเพื่อลดผลกระทบ

ความตึงเครียดทางการคลังของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในปี 2025 หลังการเจรจางบประมาณระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และสภาคองเกรสยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 1 ตุลาคม ส่งผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “Government Shutdown” หรือการปิดหน่วยงานภาครัฐบางส่วน-สถานการณ์ที่แม้จะเกิดขึ้นบ่อยในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ แต่ก็ยังสร้างแรงกระเพื่อมในตลาดทุนได้ทุกครั้ง

กลไกและสาเหตุของ Shutdown

“Government Shutdown” เกิดขึ้นเมื่อสภาคองเกรสไม่สามารถอนุมัติร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ตามกำหนด ทำให้หน่วยงานรัฐบาลกลางจำนวนมากขาดงบดำเนินการ เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งถูกสั่งพักงาน (furlough) ชั่วคราว ขณะที่บริการจำเป็นบางส่วน เช่น ความมั่นคงและโรงพยาบาลรัฐ ยังคงเปิดดำเนินการต่อไป

สำหรับมูลเหตุหลักในปีนี้ ต้นตอความขัดแย้งอยู่ที่ ข้อเสนอการปรับลดงบประมาณด้านสังคมและการเพิ่มงบทางทหาร ซึ่งเป็นแนวทางของฝ่ายบริหารที่ต้องการแสดงความเข้มงวดทางการคลัง ขณะที่พรรคเดโมแครตมองว่ามาตรการดังกล่าวกระทบต่อกลุ่มรายได้น้อยเกินไป

บทเรียนจากอดีต: ตลาดตอบสนองอย่างไร

ข้อมูลจาก Bloomberg และ Lombard Odier ได้รวบรวมเหตุการณ์ Shutdown ทั้งหมดนับตั้งแต่ปี 1976 พบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจหลายประการ

ในช่วงเกิด Shutdown (จากวันเริ่มจนสิ้นสุด)

· ดัชนี S&P 500 เฉลี่ยแทบไม่เปลี่ยนแปลง (+0.1%) สะท้อนว่าตลาดหุ้นมัก “รับข่าวล่วงหน้า” ไปก่อนแล้ว

· อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี แทบไม่ขยับ (+0.03%)

· ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (USD DXY) อ่อนลงเล็กน้อยราว -0.3%

· แต่ที่โดดเด่นคือ ราคาทองคำปรับขึ้นเฉลี่ย +0.7% แสดงบทบาทสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงความไม่แน่นอน

แต่เมื่อขยายช่วงเวลาออกไป (30 วันก่อนถึง 90 วันหลัง Shutdown)

· S&P 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +3.2% และบวกได้ถึง 60% ของทุกเหตุการณ์

· ทองคำเฉลี่ยเพิ่มขึ้นถึง +5.5% และบวกใน 65% ของกรณีทั้งหมด

· หมายความว่า แม้ความเสี่ยงทางการเมืองจะก่อความผันผวนระยะสั้น แต่ตลาดมักฟื้นตัวภายในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

หนึ่งในกรณีศึกษาที่น่าสนใจคือ Shutdown ปี 2018 สมัยทรัมป์ 1.0 ซึ่งกินเวลานานถึง 34 วัน-ยาวที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ แม้ดัชนี S&P 500 จะปรับขึ้นถึง +8% ระหว่างช่วงปิดหน่วยงาน แต่ก็มีความผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลังและสงครามการค้ากับจีน

Shutdown ครั้งนี้ทำไมจึงเป็นที่น่าสนใจ

ต่างจากในอดีต ปีนี้ความเสี่ยงจาก Shutdown มาพร้อมกับบริบทเศรษฐกิจที่ซับซ้อนกว่าเดิม-หนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ทะลุ 120% ของ GDP, อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี และตลาดแรงงานเริ่มชะลอตัว

หากการปิดหน่วยงานยืดเยื้อ จะกระทบการบริโภคในประเทศและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม จากสถิติในอดีต ผลกระทบทางเศรษฐกิจมักเป็นเพียง “ชั่วคราว”-GDP ไตรมาสที่เกิด Shutdown มักลดลงเพียงเล็กน้อย ก่อนจะฟื้นกลับได้ในไตรมาสถัดไป 

บทสรุปสำหรับนักลงทุน

บทเรียนจากกว่า 20 ครั้งของ Government Shutdown ชี้ให้เห็นว่า “ตลาดรับได้กับความไม่แน่นอนในระดับหนึ่ง แต่กลัวความไม่แน่นอนที่ยืดเยื้อโดยไร้ทิศทาง” ในระยะสั้น นักลงทุนควรเน้น สินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedge assets) เช่น ทองคำ หรือพันธบัตรอายุสั้น ขณะเดียวกัน การกระจายพอร์ตทั่วภูมิภาคและสินทรัพย์ ช่วยลดความผันผวนจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า

ท้ายที่สุด แม้การปิดหน่วยงานรัฐจะสะท้อนถึงความแตกแยกทางการเมืองของสหรัฐฯ แต่ในแง่มุมของการลงทุน มันอาจเป็นเพียง “ความผันผวนระยะสั้น” ในเส้นทางระยะยาวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังคงขับเคลื่อนไปด้วยกำลังของเทคโนโลยี นโยบายการเงิน และการเคลื่อนไหวของเงินลงทุนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง