คุมค่ายาไม่สะเทือน ‘กลุ่มรพ.’ โบรกชี้เขย่าจิตวิทยาระยะสั้น เหตุ ‘รายได้’ หลักจากค่ารักษา

คุมค่ายาไม่สะเทือน ‘กลุ่มรพ.’ โบรกชี้เขย่าจิตวิทยาระยะสั้น เหตุ ‘รายได้’ หลักจากค่ารักษา

โบรกประเมิน “มาตรการคุมค่ายา” รมว.พาณิชย์ กระทบ “กลุ่มโรงพยาบาล” ระยะสั้น “บล.กสิกรไทย” เชื่อไม่สั่นคลอนพื้นฐานธุรกิจ เหตุ “รายได้” หลักมาจากค่ารักษา “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” มองเป็นเชิงลบต่อจิตวิทยาลงทุน “บล.พาย” ชี้ตัวกดดันกลุ่มโรงพยาบาลมาจาก “จำนวนผู้ป่วยต่างชาติลดลง” 

ภายหลังที่ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงต่อสภาฯ ชูมาตรการลดค่าครองชีพด้าน “สุขภาพ” ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย “Quick Big Win” โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อต้องการควบคุม “ราคายา” และ “เวชภัณฑ์” โรงพยาบาลเอกชน โดยประเด็นดังกล่าวกระทบเซนติเมนต์ต่อ “กลุ่มโรงพยาบาล” เชิงลบระยะสั้น ๆ เท่านั้น 

คุมค่ายาไม่สะเทือน ‘กลุ่มรพ.’ โบรกชี้เขย่าจิตวิทยาระยะสั้น เหตุ ‘รายได้’ หลักจากค่ารักษา

นางสาวปิยะฉัตร รัตนสุวรรณ นักวิเคราะห์อาวุโสบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ผลกระทบของมาตรการควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ของรัฐบาลต่อหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลว่า มาตรการดังกล่าวจะไม่กระทบต่อการดำเนินงานของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะส่งผลกระทบในเชิง“จิตวิทยา”และเป็นเพียง “เซนติเมนต์ระยะสั้น” เท่านั้น

โดยนโยบายการควบคุมราคา หรือการเปิดเผยราคายาแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลเอกชนมีการปฏิบัติอยู่แล้ว จึงไม่ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม การที่ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข่าวอาจส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยากลุ่มนักลงทุน ทำให้ความเชื่อมั่นลดลงไประยะหนึ่ง แต่เชื่อว่าผลกระทบจะจำกัดและชั่วคราวเท่านั้น พร้อมย้ำว่าการควบคุมราคาใด ๆ จะต้องมีการพิจารณาไปถึงต้นทุนที่แท้จริงของโรงพยาบาลด้วย

สำหรับทิศทางผลประกอบการกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 อาจจะยังไม่ค่อยดีเนื่องจากปกติแล้วโรคไข้หวัดใหญ่จะเริ่มระบาดตั้งแต่ก.ค.2568 แต่ในปีนี้เกิดในช่วงก.ย.2568 ซึ่งอาจส่งผลภาพรวมไตรมาส 3 ปี 2568 ดูไม่ดีเท่าที่ควร

ขณะที่ แนวโน้มไตรมาส 4 มีโอกาสเติบโตได้ดีจากโอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์ “ลานีญา”  ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าเฉลี่ยเทียบกับปีที่แล้วที่ไม่มีลานีญา ดังนั้น แนวโน้มที่ฝนจะตกมากขึ้นแบบช่วงเดียวกันปีก่อนจะเพิ่มโอกาสที่ประชาชนจะป่วยเป็นหวัดมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้รายได้ของโรงพยาบาลมีโอกาสเติบโตได้ดี

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า มาตรการควบคุมราคาของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องใหม่ ซึ่งข้อเสนอที่ออกมามี 2 ประเด็นหลัก คือ การเปิดเผยราคา เวชภัณฑ์อย่างชัดเจน และการควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการโรงพยาบาลในปัจจุบันมีข้อผูกพันที่ต้องเปิดเผยราคาสินค้าบนเว็บไซต์เพื่อความโปร่งใส นอกจากนี้ผู้ป่วยก็ได้รับอนุญาตให้ซื้อเวชภัณฑ์จากร้านยาภายนอกโรงพยาบาลได้อยู่แล้ว หากไม่ประสงค์จะรับยาจากโรงพยาบาล

ดังนั้น เมื่อมีข่าวลักษณะนี้ออกมา จึงเชื่อว่าผลกระทบส่วนใหญ่อยู่ในเชิงลบต่อจิตวิทยาในการลงทุนเท่านั้น และไม่น่าจะกระทบปัจจัยพื้นฐานของหุ้นในกลุ่มนี้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ค่อนข้างมีความเต็มใจที่จะจ่ายในระดับหนึ่งอยู่แล้ว การควบคุมเพิ่มเติมของภาครัฐจึงไม่น่าจะมีผลกระทบ เว้นแต่จะมีลักษณะแบบบางประเทศที่โรงพยาบาลให้บริการรักษาได้อย่างเดียว แต่ไม่สามารถขายยาได้ โดยต้องให้ผู้ป่วยไปสั่งซื้อจากร้านยาภายนอก

อย่างไรก็ตามทิศทางผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี 2568 กลุ่มโรงพยาบาลที่อิงผู้ป่วยในประเทศเป็นหลักอาจจะมีปัจจัยบวกจากเชิงฤดูกาลในไตรมาส 3 ปี 2568 จากช่วงหน้าฝนหรือไข้หวัด ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2568 ผลประกอบการน่าจะทรงตัว หรืออาจมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย

นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บล.พาย เปิดเผยว่า มาตรการของรัฐบาลในการควบคุมราคาขายยาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนมากนัก เนื่องจากรายได้จากการขายยาคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 4% ของรายได้รวม ขณะที่รายได้หลักของโรงพยาบาลมาจากค่ารักษาพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ แต่ปัจจัยที่น่ากังวลและเป็นตัวกดดันหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล คือจำนวนผู้ป่วยที่ลดลงโดยเฉพาะกลุ่ม “ผู้ป่วยต่างชาติ” โดยการลดลงของผู้ป่วยต่างชาติมีสาเหตุมาจากหลายด้าน โดยในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชาพบว่ามีผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาพยาบาลในไทยลดลง

นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานะการเงินของรัฐบาลในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น กาตาร์และคูเวต ซึ่งปกติแล้วรัฐบาลในกลุ่มประเทศเหล่านี้มีการชดเชยค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารักษาพยาบาลที่ไทยให้กับประชาชนของตน แต่เนื่องจากฐานะทางการเงินของรัฐบาลไม่ได้มั่งคั่งเท่าเดิมเมื่อราคาน้ำมันตกต่ำ ทำให้การชดเชยค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้เริ่มลดน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งเป็นอีกปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่พึ่งพากลุ่มลูกค้าต่างชาติเหล่านี้