‘หุ้นเวียดนาม’ ลุ้น อัปเกรดสู่ตลาดเกิดใหม่ ปลดล็อกเงินทุน 5 พันล้านดอลลาร์

นักลงทุนจับตา ‘หุ้นเวียดนาม’ ลุ้น FTSE Russell อนุมัติอัปเกรดสู่ตลาดเกิดใหม่ หลังปฏิรูปตลาดทุนครั้งใหญ่ หวังปลดล็อกเงินลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์
ดัชนี VN ตลาดหุ้นเวียดนาม พุ่งทะยานไปเกือบแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 6 ต.ค.68 ปิดที่ระดับ 1,695.50 จุด ก่อนจะย่อตัวลงมาเล็กน้อยจากการขายทำกำไรวันนี้ โดยปิดตลาดวันที่ 7 ต.ค.68 ที่ 1,686 จุด ลบไป 0.46% รับความหวังว่าผู้ให้บริการดัชนีระดับโลกอย่างฟุตซี่ รัสเซล (FTSE Russell) จะประกาศยกระดับสถานะตลาดหุ้นเวียดนามจากเดิมที่เป็น "ตลาดชายขอบ" สู่กลุ่ม "ตลาดเกิดใหม่" ซึ่งจะถือเป็นก้าวสำคัญในการปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์
ปัจจุบัน ทั้ง FTSE Russell และ MSCI ต่างก็จัดให้ตลาดหุ้นเวียดนาม อยู่ในสถานะ "ตลาดชายขอบ" (Frontier markets) ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูง และเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ กองทุนสถาบัน และกองทุนต่างๆ จำนวนมาก ไม่สามารถเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในเวียดนามได้ โดย FTSE Russell ได้ระบุในบันทึกเมื่อเดือนก.ย.ว่าการประกาศเกี่ยวกับการจัดประเภทใหม่ของเวียดนามจะมีขึ้นในวันที่ 7 ต.ค.68 หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปิดทำการ หรือตรงกับช่วงเช้าวันที่ 8 ต.ค.68 ตามเวลาไทย
เมื่อเดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง “เหวียน วัน ถัง” ได้แสดงความมั่นใจ ต่อการปรับปรุงที่ใกล้จะเกิดขึ้นนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เวียดนามถูกจัดอยู่ในรายชื่อของการจัดประเภทใหม่ของ FTSE มาตั้งแต่ปี 2561 แต่การประกาศครั้งนี้น่าจับตามากขึ้น หลังจากที่ประเทศได้ทำการปฏิรูปตลาดหลายอย่างเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของดัชนี แต่แม้ว่า FTSE จะอนุมัติในวันที่ 7 ต.ค.68 แต่การจัดประเภทใหม่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ตามขั้นตอนการดำเนินการของดัชนี
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นเวียดนามทะยานขึ้นกว่า 30% มีบริษัทจดทะเบียนประมาณ 1,600 แห่ง และมีมูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งการเลื่อนสถานะเป็นตลาดเกิดใหม่จะทำให้เวียดนามอยู่ในประเภทเดียวกับตลาดที่ใหญ่กว่าอย่าง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และซาอุดีอาระเบีย แม้ว่าจะมีน้ำหนักในดัชนีไม่มากก็ตาม
หวังเงินไหลเข้า 5 พันล้านดอลล์
การอัปเกรดสถานะจะนำไปสู่การไหลเข้าของ “เงินทุน” โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจะมีเงินไหลเข้าในระยะสั้นประมาณ 5 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้เมื่อเดือนที่แล้ว HSBC ได้ประมาณการว่า เวียดนามอาจมีสัดส่วน 0.5% ใน ดัชนี FTSE Emerging Market ซึ่งอาจดึงดูดเงินไหลเข้าได้รวม 3.4 พันล้านดอลลาร์ ในจำนวนนี้คาดว่าจะมาจากกองทุนทั่วโลกกว่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากกองทุนรวมในเอเชีย 38% และกองทุนรวมตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก 30% ถือหุ้นเวียดนามอยู่แล้ว เงินทุนไหลเข้าจริงอาจมีจำนวนน้อยกว่า และเป็นการสลับสับเปลี่ยนการลงทุน มากกว่าเงินลงทุนใหม่ทั้งหมด
นักวิเคราะห์ท้องถิ่นบางคนเตือนให้ระมัดระวัง โดย Mirae Asset Securities ระบุว่าตลาดอาจได้รับรู้ข่าวการอัปเกรดตลาดนี้ไปแล้ว และไม่น่าจะมีการพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่บริษัทดรากอน แคปปิตอลเตือนว่า หลังจากการรวมเข้าเสร็จสมบูรณ์ และมีเงินทุนไหลเข้าตามที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนบางรายโดยเฉพาะกองทุนป้องกันความเสี่ยงอาจขายทำกำไร
อย่างไรก็ตาม การเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามจะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่น โดยเวียดนามคาดว่าเศรษฐกิจไตรมาส 3 จะเติบโต 8.22% และรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตสุดทะเยอทะยานไว้ที่ 8.3% ถึง 8.5% ภายในปี 2568
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเวียดนามยังคงเดินหน้าตามแผนระยะยาว โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นอัปเกรดตลาดตามเกณฑ์ของ FTSE Russell ในปีนี้ และบรรลุสถานะ “ตลาดเกิดใหม่” ตามเกณฑ์ของดัชน MSCI ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่อาจปลดล็อกเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







