หุ้นเวียดนาม พุ่งแรงแซงไทย ลุ้น FTSE ขยับชั้นสู่ Emerging Market คืนนี้ 

หุ้นเวียดนาม พุ่งแรงแซงไทย ลุ้น FTSE ขยับชั้นสู่ Emerging Market คืนนี้ 

ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังว่า FTSE Russell จะประกาศปรับสถานะจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในคืนนี้

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นแรงจากความคาดหวังว่า FTSE Russell จะประกาศปรับสถานะจากตลาดชายขอบ (Frontier Market) สู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ในคืนนี้
  • หากได้รับการปรับสถานะ คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุน (Fund Flow) ไหลเข้าตลาดประมาณ 1.5 - 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่ม VN30 จะได้ประโยชน์มากที่สุด
  • การปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปี ทำให้มูลค่า (Valuation) ของหุ้นเวียดนามตึงตัวและแซงหน้าตลาดหุ้นไทยไปแล้ว
  • นักวิเคราะห์เตือนว่าการปรับสถานะอาจยังไม่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากเวียดนามยังต้องพัฒนาในด้านความโปร่งใสและระบบการชำระเงิน
  • มีความเสี่ยงที่ตลาดอาจเผชิญแรงขายหากผลการพิจารณาไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นรับข่าวดังกล่าวไปล่วงหน้าแล้ว

ตลาดหุ้นเวียดนาม กำลังร้อนแรงอีกครั้ง ท่ามกลางกระแสคาดหวังว่า FTSE Russell อาจประกาศปรับสถานะจากตลาดชายขอบ หรือ Frontier Market สู่ตลาดเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของ ตลาดทุนเวียดนาม ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม "กูรู" เตือนนักลงทุนให้ระวังความผันผวนระยะสั้น หลังราคาหุ้นหลายตัวพุ่งแรงจน Valuation ตึงตัว ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยเสี่ยงจาก ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ และความไม่โปร่งใสในตลาดที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง ให้สัมภาษณ์กับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นเวียดนาม อยู่ในกลุ่ม Frontier Market หรือตลาดหุ้นชายขอบ โดยในปีนี้มีเป้าหมายที่จะปรับระดับชั้นไปอยู่ในกลุ่ม Emerging Market หรือ ตลาดเกิดใหม่ โดยคาดหวังและลุ้นว่า FTSE Russell อาจจะมีการประกาศขึ้นในคืนนี้ (ประมาณ 03.00 น.เวลาในประเทศไทย)

อย่างไรก็ดี หากตลาดหุ้นเวียดนามได้รับการจัดชั้นเข้าสู่ Emerging Market จะมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามา โดยเฉพาะจาก กองทุน Passive Fund ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าอาจมีเงินทุนไหลเข้าราว 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และหากรวม Active Fund ด้วย อาจมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาสูงถึง 3,000-5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยหุ้นที่จะได้ประโยชน์ส่วนใหญ่จะเป็น หุ้นกลุ่มขนาดใหญ่ เช่น หุ้นในกลุ่ม ดัชนี VN30 เนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้มีสภาพคล่องสูงที่กองทุนสามารถลงทุนได้ ในขณะที่หุ้นขนาดเล็กและขนาดกลางอาจไม่ได้รับประโยชน์มากนัก

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ต่างประเทศบางส่วนยังมองว่า ตลาดหุ้นเวียดนามอาจจะยังต้องมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น และอาจจะยังไม่ถูกปรับชั้นให้เข้ามาอยู่ใน Emerging Market เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามยังคงต้องดำเนินต่อไปในหลายด้าน เช่น ความโปร่งใส และระบบการชำระเงิน เป็นต้น 

นอกจากนี้ สิ่งที่ยังคงต้องเฝ้าระวังและความเสี่ยงในตลาดหุ้นเวียดนามค่อนข้างมีความผันผวนสูง หากผลสุดท้ายเวียดนาม ไม่ได้รับการปรับชั้น เข้าสู่ Emerging Market ตามที่ตลาดคาดการณ์ อาจเผชิญกับแรงขายได้ เนื่องจากปัจจุบันฟันด์โฟลว์ได้เข้ามาเก็งกำไรในประเด็นดังกล่าวไว้ก่อนหน้านี้

ส่วนการลงทุนในระยะยาวมองว่า ยังคงมีความน่าสนใจ ซึ่งกำไรบริษัทจดทะเบียนในเวียดนามคาดว่าในปี 2569 จะเติบโตได้อีกประมาณ 20% และคาดว่าจะโตได้เกือบ 20% อีกครั้งในปี 2570 

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย ซึ่งหมายความว่าเวียดนามยังสามารถดำเนินการลดดอกเบี้ยต่อไปได้ และหากย้อนไปดูจีดีพีไตรมาส 2 ของปี 2568 เวียดนามมีการเติบโตที่ค่อนข้างดี โดยโตขึ้นประมาณ 8% 

"ความผันผวนของตลาดหุ้นเวียดนามค่อนข้างสูงและการที่มีฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามารอล่วงหน้าแล้ว จึงแนะนำให้จำกัดสัดส่วนการลงทุนหุ้นเวียดนามมีสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนไว้ ไม่เกิน 10% เพื่อควบคุมความเสี่ยงในกรณีที่ตลาดมีความผันผวนและปรับตัวลงแรง"

ทั้งนี้ มุมมองต่อตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับเป็นกลาง หรือ Neutral แม้ว่าปัจจุบันตลาดจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างแรงจนอาจเข้าสู่ภาวะการทำจุดสูงสุดใหม่ หรืออยู่ในช่วงตลาดขาขึ้นแล้วก็ตาม แต่ทว่าในระยะสั้นอาจต้องระมัดระวังความผันผวน แต่ในระยะยาวยังคงมีความน่าสนใจ 

โดยหากย้อนไปดูผลการดำเนินงานของตลาดหุ้นเวียดนามตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ผลตอบแทนรวมปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 30% ขณะที่ดัชนี VN30 ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ได้ปรับตัวขึ้นไปแล้วประมาณ 43% ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวียดนามยังคงมีความกังวลต่อภาษีตอบโต้ หรือ Reciprocal Tariff ที่ 20% แต่ทว่าในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568 ตลาดหุ้นเวียดนามกลับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเพียงไตรมาสเดียวเพิ่มขึ้นในระดับกว่า 20% ทำให้นักลงทุนอาจจะต้องระมัดระวังความผันผวนในระยะสั้นเป็นพิเศษ

วิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA นักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า การอัปเกรดสถานะของการตลาดหุ้นเวียดนามจากตลาดชายขอบ หรือ Frontier Market เป็น Emerging Market นั้นถูกพูดคุยกันมานานกว่า 2 ปีแล้ว  ซึ่งเกณฑ์หนึ่งในการเข้าสู่ Emerging Market แต่ด้วยความที่ตลาดมีการเหวี่ยงและเติบโตอย่างรวดเร็ว ก็มีความเสี่ยงเรื่องความไม่โปร่งใสในบางประเด็น

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ราคาหุ้น ได้รับรู้ประเด็นเรื่องการอัปเกรดนี้ไปค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้น หากคืนนี้ (ตามเวลาในไทย) มีการประกาศว่าได้เข้าสู่ Frontier Market จริง ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อไปอีก เนื่องจากตลาดได้เล่นกับประเด็นดังกล่าวมามาสักพักใหญ่ๆ แล้ว

อย่างไรก็ดี ในด้านปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคเวียดนามมีการเติบโตของจีดีพีที่ดี โดยขยายตัวประมาณเกือบ 8% การเติบโตดังกล่าวมาจากทั้งการส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ

แต่ทว่าปัจจุบันเวียดนามถูกเก็บภาษีมากกว่าประเทศไทย ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต้องระวังด้านภาษีสหรัฐฯ แม้ว่า ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคที่ดูดี ยังไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เลย นักลงทุนจึงต้องระวังในประเด็นนี้ด้วย นอกจากนี้ หุ้นเวียดนามส่วนใหญ่เป็นฐานการส่งออกค่อนข้างเยอะ หากมีประเด็นเรื่องภาษีเข้ามากระทบอาจส่งผลต่อกำไรได้ ซึ่งปัจจุบันกำไรก็ยังไม่มีการอัปเกรดขึ้นมามากนัก

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเวียดนามค่อนข้างตึงตัวมากว่าในตลาดหุ้นไทย และเมื่อใดก็ตามที่ดัชนีขึ้นไปทดสอบระดับประมาณ 1,600-1,700 จุด มักจะไหลลงมาเกือบตลอด และมีการแกว่งตัวอยู่ในบริเวณดังกล่าวมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว

ในด้านมูลค่า หรือ Valuation เวียดนามปรับตัวขึ้นมามากตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งในอดีตไทยและเวียดนามมีการซื้อขายในพีอีที่ที่ใกล้เคียงกัน แต่ปัจจุบันเวียดนามได้แซงหน้าไทยไปแล้ว ทำให้ valuation ของเวียดนามถือว่าค่อนข้างตึงตัวกว่า

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไทยที่เข้ามาลงทุนใน DR ที่เป็นเวียดนามต่างได้รับผลตอบแทนที่ดี เนื่องจากตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างร้อนแรง แต่ทว่าหากนักลงทุนเข้าไปลงทุนในรูปแบบของกองทุนรวม พบว่า บางกองทุนยังไม่ได้กลับขึ้นมาทำ New High แม้ว่าตลาดหุ้นเวียดนามโดยรวมจะทำ New High ก็ตาม เนื่องจากว่าหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมานั้น ไม่ใช่หุ้นตัวใหญ่ทั้งหมด ดังนั้น นักลงทุนที่วางแผนจะจัดพอร์ตและลงทุนในเวียดนาม ต้องระวังเรื่องเศรษฐกิจมหภาค ที่ยังไม่สะท้อนผลกระทบจากภาษีทรัมป์ และต้องพิจารณาความเสี่ยงโดยรวมให้มาก