‘เฟทโก้’ จ่อถก ‘พาณิชย์’ ปลดล็อก ‘ต่างชาติ ’ขอ ‘บีโอไอ’ เข้าระดมทุน

"เฟทโก้" จ่อส่งหนังสือหารือ กระทรวงพาณิชย์ ชงปลดล็อกเกณฑ์ “ต่างชาติ” รับสิทธิพิเศษ “บีโอไอ” เข้าระดมทุนในตลาดหุ้นไทยง่ายขึ้น หวังพลิก “จีดีพี” โตระดับ 3% ภายในปี 71
จากการประชุมร่วมของ “คณะทำงานเพื่อพิจารณามาตรการปฏิรูปตลาดทุนไทย” (Taskforce) ประกอบด้วย 4 หน่วยงานหลัก คือ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้ร่วมกันเปิดชุดมาตรการ “เสริมเสน่ห์ตลาดทุนไทย” รวม 4 มาตรการหลัก พร้อมแผนดำเนินงานเร่งด่วนในแต่ละด้านภายใน 4 เดือนข้างหน้า (Quick Win) เพื่อยกระดับความน่าสนใจของ “ตลาดทุนไทย” ในสายตานักลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธาน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ภายในสัปดาห์นี้เฟทโก้เตรียมส่งหนังสือหารือไปยังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อผลักดันการปรับปรุงหลักเกณฑ์การอนุมัติจัดตั้ง “บริษัทแบบเร่งด่วน” (Fast Track) โดยเฉพาะบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งในรูปแบบการลงทุนโดยตรง (FDI) และการระดมทุนผ่านตลาดทุนไทย
รวมถึงหนึ่งในมาตรการสำคัญของชุดมาตรการ Supportive Ecosystem คือ การผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) อำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างประเทศใช้สิทธิ e-Proxy ในการประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคด้านการบริหารสิทธิและเพิ่มความคล่องตัวในการลงทุน
เปิด “Fast Track” ดึง บ.BOI เข้าตลาดทุน
ทั้งนี้ หลังจากทีม Taskforce ก่อนหน้านี้ หารือกับทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) คาดว่า น่าจะมี IPO ที่เป็น New Growth นำร่อง 2 บริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่มีแผนลงทุนต่อเนื่องในไทย 2-3 ปี ทั้งการตั้งโรงงาน ศูนย์วิจัย และพัฒนา และบริษัทแม่ พร้อมแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ข้อมูลจาก BOI ระบุว่า ปีนี้มีเม็ดเงินขอรับการส่งเสริมจากต่างชาติรวมกว่า 1 ล้านล้านบาท ครอบคลุมอุตสาหกรรม New Economy อย่างเทคโนโลยี อีวี เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และดาต้าเซนเตอร์ ทั้งจากยุโรป ไต้หวัน จีน และญี่ปุ่น ซึ่งหากสามารถผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง จะส่งผลต่อมูลค่าตลาด (Market Cap) ของตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นแรงหนุนให้จีดีพีไทยกลับมาเติบโตระดับ 3% ภายในปี 2571
ขณะเดียวกัน เฟทโก้ ได้ส่งหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง เพื่อขอหารือ และเสนอ 4 มาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย และขอความชัดเจนในรายละเอียดของมาตรการเร่งด่วน ที่จะผลักดันช่วงรัฐบาล 4 เดือน และมุ่งสร้าง Quality Demand ให้เกิดขึ้น เป็นรูปธรรมนั้น และจะเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาว
ดังนั้น คาดหวังการส่งเสริมการออมระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล “บัญชีการลงทุนส่วนบุคคล” (Thailand Individual Savings Account หรือ TISA) เพื่อสนับสนุนการออมระยะยาว รับสังคมสูงวัย และการศึกษาบุตร พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษีต้องรอลุ้นว่ากระทรวงการคลังอนุมัติก่อน 15 ธ.ค.68 นี้ เพื่อใช้สิทธิในปีภาษีนี้
รวมถึงการปลดล็อกเกณฑ์ IPO เพื่อสนับสนุนโครงการ Jump+ ของ ตลท. และ Value Up ของ ก.ล.ต. การผลักดัน TISA (Thai Investment and Startup Asset) เพื่อส่งเสริมหุ้นเศรษฐกิจใหม่ สตาร์ตอัป และเทคโนโลยี สนับสนุนการสร้างโครงสร้างตลาดทุนไทยให้เป็น Financial Hub ของภูมิภาค โดยตลาดทุนไทยยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
“ทั้ง 4 มาตรการนี้สอดคล้องกับแนวทาง Quick Win ของรัฐบาลในระยะ 4 เดือน และเป็นรากฐานสำคัญในการปฏิรูปตลาดทุนไทยให้เติบโตยั่งยืนในระยะยาว แน่นอนว่าเมื่อตลาดหุ้นไทยมีเสน่ห์ขึ้น ต่างชาติเริ่มกลับมาสนใจตลาดหุ้นไทย เรามองหุ้นไทยปีนี้ดัชนีมีโอกาสแตะ 1,415 จุดได้”
ก.ล.ต.ยกระดับ “คุณภาพ” ตลาดทุนไทย
นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. ริเริ่มตั้งคณะทำงาน Taskforce เพื่อร่วมกันผลักดันมาตรการพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมศักยภาพแข่งขันระยะยาวอย่างยั่งยืน สอดรับสภาพเศรษฐกิจ และบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งยกระดับความเชื่อมั่นให้ตลาดทุนไทย
โดยเชื่อมั่นการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ ต้องอาศัยความร่วมมือทำงานของทุกภาคส่วน ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายให้ทุกมาตรการมี KPI ที่ชัดเจน และเห็นผลเป็นรูปธรรม และบางมาตรการสามารถมีความชัดเจนได้ภายใน 4 เดือนนับจากนี้
ทั้งนี้ มาตรการเฟสแรก มุ่งเน้นยกระดับคุณภาพตลาดทุนไทยมากกว่าปริมาณ ประกอบด้วย การปรับปรุงกระบวนการเสนอขายหุ้น IPO ให้มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์นักลงทุนมากขึ้น , การส่งเสริมแหล่งระดมทุนสำหรับธุรกิจ SME และเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) และอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติสามารถใช้สิทธิ e-Proxy ได้ง่ายขึ้น โดยอยู่ระหว่างหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์
รวมถึงเตรียมผลักดันมาตรการในเฟสถัดไป เช่น การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ (Bond Market) ตลาดรอง และการระดมทุนผ่านระบบคลาวด์ฟันด์ดิ้ง ขณะเดียวกัน ก.ล.ต. ยืนยันมาตรการเดิมที่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้จะถูกยกเลิก เช่น โครงการวายุภักษ์ และ ThaiESG ซึ่งพบว่ายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในหมู่นักลงทุนต่างชาติ โดยก.ล.ต. เตรียมจัดโรดโชว์เพื่อสร้างความเข้าใจ และความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ก.ล.ต. อยู่ระหว่างจัดทำแผนงานประจำปี 2569 ซึ่งจะมีความชัดเจนภายในเดือนธันวาคม นี้ และเตรียมประกาศแผนอย่างเป็นทางการในเดือนม.ค. ปีหน้า
ตลท.หวังดึงดูด “ศก.ใหม่-ยกเครื่องไอพีโอ”
นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท. พร้อมผลักดันมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทยอย่างเต็มที่ ตั้งแต่การดึงดูดกิจการ New Economy และ ยกเครื่องกระบวนการ IPO เพื่อดึงดูดบริษัทที่มีศักยภาพสูง และอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S-Curve) ให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น
พร้อมยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ Jump+ การใช้เทคโนโลยีเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลของผู้ลงทุน ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้ลงทุนทุกกลุ่ม ตลอดจนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
ล่าสุด มีบริษัทเข้าร่วมโครงการ Jump+ แล้ว 61 ราย โดยคาดว่าจะมีการประกาศโครงการอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้ พร้อมเชิญชวนบริษัทขนาดใหญ่เข้าร่วมเพิ่มเติม เพื่อขยายผลเชิงคุณภาพ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับตลาดทุนไทย
ในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2568 ตลท. เผยว่า มีแผนงาน IPO อยู่ในไปป์ไลน์อีกกว่า 20 บริษัท ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาความพร้อมของกิจการ และภาวะตลาด คาดว่าช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า จะมี IPO ทยอยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
“การขับเคลื่อนโครงการจัมพ์พลัส และการเตรียมความพร้อม IPO ใหม่ ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศตลาดทุนไทย ทั้งในด้านคุณภาพของกิจการ การเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนเข้าถึงธุรกิจที่มีศักยภาพ และการสนับสนุนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของ ตลท. ในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน”
“ตลาดทุน” เข้มแข็ง หนุน “จีดีพี” ไทยโต
ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ชุดมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย จะเสริมสร้างศักยภาพให้ตลาดทุนไทยเข้มแข็งมากขึ้น และวางรากฐานที่มั่นคงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ทั้งนี้ ตลาดทุนสามารถดึงดูดธุรกิจที่มีศักยภาพให้เข้ามาระดมทุน จะช่วยเพิ่มโอกาสประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจในด้านต่างๆ รวมทั้งเพิ่มจำนวนนักลงทุนในตลาดมากขึ้น ทำให้ตลาดทุนไทยมีประสิทธิภาพเป็นแหล่งระดมทุนเพื่อพัฒนาประเทศต่อไป ขณะเดียวกัน ถือเป็นมาตรการ Quick Win ที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ในระยะสั้น และส่งผลต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย
ทั้งนี้ มาตรการสร้างเสน่ห์หุ้นไทย แผนดำเนินงานจะขับเคลื่อนผ่าน 4 มาตรการหลัก ที่ครอบคลุมทุกมิติของตลาดทุน ตั้งแต่ฝั่งผู้ซื้อ ผู้ขาย ไปจนถึงระบบนิเวศโดยรวม โดยมีแผนปฏิบัติการเร่งด่วนภายใน 4 เดือนข้างหน้า ดังนี้
1. Quality Demand-ส่งเสริมการออมระยะยาวผ่าน “บัญชีการลงทุนส่วนบุคคล” (TISA) เพื่อเปลี่ยนเงินออมเป็นเงินลงทุน รวทถึงขยายฐานนักลงทุนกลุ่มใหม่ และเพิ่มบทบาทของนักลงทุนสถาบันในประเทศ
2. Attractive Supply-ดึงดูดบริษัทคุณภาพ และธุรกิจ New Economy เข้าระดมทุน พร้อมยกระดับคุณภาพบริษัทจดทะเบียนผ่านโครงการ Jump+ และปรับปรุงเกณฑ์ IPO ให้ทันสมัย รวมถึงผลักดันการเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ตามมาตรฐานสากล
3. Trusted Market-เพิ่มความเข้มข้นในการกำกับดูแล และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพ (Gatekeepers) เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
4. Supportive Ecosystem-ใช้เทคโนโลยีเพิ่มการเข้าถึงการลงทุน และผลักดันสู่ ตลาดทุนดิจิทัล ทบทวนเกณฑ์การซื้อขายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักลงทุนในปัจจุบัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







