ดัชนี S&P 500 จบสัปดาห์อย่างแข็งแกร่ง แม้ชัตดาวน์เข้าวันที่ 3

ดัชนี S&P 500 จบสัปดาห์อย่างแข็งแกร่ง แม้ชัตดาวน์เข้าวันที่ 3

แรงขึ้นของ S&P 500 แผ่วลงในวันศุกร์ จากการขึ้นการสร้างสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้า ดัชนียังคงรักษาระดับการปรับขึ้นในรอบสัปดาห์ที่แข็งแกร่ง แม้ชัตดาวน์

ซีเอ็นบีซี รายงานแรงขึ้นของดัชนี S&P 500 แผ่วลงในวันศุกร์ (3 ต.ค.68) จากการขึ้นการสร้างสถิติใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้า ดัชนียังคงรักษาระดับการปรับขึ้นในรอบสัปดาห์ที่แข็งแกร่งไว้ได้ แม้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะปิดทำการหรือ เข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ (Government Shutdown) เป็นวันที่สาม

S&P 500 ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมปิดตลาดแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยเพิ่มขึ้นเพียง 0.01% ที่ 6,715.79 ขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite ลดลง 0.28% ปิดที่ 22,780.51

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ Dow Jones Industrial Average ปรับตัวสูงขึ้น 238.56 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 46,758.28

ดัชนี Russell 2000 ก็ปรับตัวขึ้น 0.72% ปิดที่ 2,476.18

โดยดัชนีทั้งสี่ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลระหว่างวันของการซื้อขาย

หุ้นร่วงลงเล็กน้อยในการซื้อขายช่วงบ่ายจากการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหลักๆ เช่น Palantir Technologies, Tesla และ Nvidia โดย Palantir เป็นผู้นำในการย่อตัวของดัชนี S&P 500 โดยราคาหุ้นบริษัทซอฟแวร์นี้ร่วงลง 7.5% ขณะที่ Tesla และ Nvidia ลดลงมากกว่า 1% และเกือบ 1% ตามลำดับ ดัชนีความผันผวน CBOE

พุ่งสูงขึ้น ส่งสัญญาณว่านักลงทุนบางส่วนกำลังเร่งซื้อสัญญาสิทธิเพื่อป้องกันการร่วงลงของดัชนี S&P 500 ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ดัชนีชั้นนำทั้งสามดัชนียังคงปิดตลาดในสัปดาห์นี้ในเชิงบวก โดยดัชนี S&P 500 ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1.1% ในสัปดาห์นี้ เช่นเดียวกับดัชนี Dow ที่มีหุ้น 30 ตัว ขณะที่ Nasdaq ซึ่งเน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.3% ส่วนหุ้น Russell ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 2% ในช่วงเวลาดังกล่าว

ไม่กังวลแม้รัฐบาลสหรัฐชัตดาวน์

นักลงทุนมองข้ามความกังวลเกี่ยวกับภาวะปิดทำการของรัฐบาล ซึ่งเข้าสู่วันที่สามในวันศุกร์ แม้ว่าการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจในปีนี้จะยิ่งทำให้ความกังวลพื้นฐานเกี่ยวกับปัจจัยลบทางเศรษฐกิจมหภาคและนโยบาย ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และตลาดแรงงานที่ชะลอตัวรุนแรงขึ้น แต่นักลงทุนคาดว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น ซึ่งจะจำกัดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ นักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเชื่อว่าการชัตดาวน์จะไม่สามารถหยุดยั้งโมเมนตัมของการซื้อขายปัญญาประดิษฐ์ได้ การปิดทำการหน่วยงานราชการดังกล่าวไม่เคยมีอิทธิพลต่อตลาดมาก่อน

รายงานข้อมูลจ้างเดือนกันยายนถูกระงับเพราะชัตดาวน์

การชัตดาวน์ดังกล่าวนำไปสู่การปิดกั้นข้อมูลทางเศรษฐกิจ และการที่กระทรวงแรงงานระงับกิจกรรมเกือบทั้งหมด ทำให้การเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนกันยายนในวันศุกร์ถูกระงับไป แม้ว่ามาตรการนี้จะขจัดปัจจัยที่อาจสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นออกไป แต่ก็ทำให้ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนตุลาคมลดลง ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเดือนนี้ ตามเครื่องมือติดตามเฟด FedWatch ของ CME

นอกจากความกังวลเกี่ยวกับตลาดงานอย่างต่อเนื่องแล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังขู่ว่าจะปลดพนักงานจำนวนมาก และกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่าพรรคเดโมแครตได้ให้ “โอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อน” แก่เขาในการลดขนาดหน่วยงานรัฐบาลกลาง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซี เมื่อวันพฤหัสบดีว่า การขาดเงินทุนของรัฐบาลกลางในปัจจุบันอาจนำไปสู่ “ผลกระทบต่อ GDP ผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และผลกระทบต่อแรงงานในอเมริกา” 

สำนักงานงบประมาณรัฐสภาประเมินว่าจะมีพนักงานรัฐบาลกลาง 750,000 คนถูกพักงานในแต่ละวัน

  • คาดเฟดลดดอกเบี้ยวันที่ 29 ตุลาคม

คำกล่าวของพวกเขามีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 ในเดือนกันยายน ตามข้อมูลของ ADP  ทั้งนี้ รายงานเมื่อวันพุธถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังอ่อนแอลง และบางคนเชื่อว่าสถานะของตลาดแรงงานประกอบกับการปิดหน่วยงานเป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้เฟดลดดอกเบี้ยลงอีกครั้ง

“เรามองภาพเดือนกันยายนหลากหลาย ซึ่งรายงานจ้างภาคเอกชนเป็นตัวทดแทนรายงานการจ้างงานที่ล่าช้าของกระทรวงแรงงาน ตลาดการจ้างงานนั้นชะลอลงเพียงพอที่จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ  ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 29 ตุลาคม” เจนนิเฟอร์ ทิมเมอร์แมน นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนอาวุโสจาก Wells Fargo Investment Institute กล่าว “แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสัญญาณธงเหลืองของเศรษฐกิจจากข้อมูลการจ้างงานล่าสุด ได้ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการฟื้นตัวของตลาดหุ้น และทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรอ้างอิงอยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่ 4.11% ซึ่งทำให้ดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์”