‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น หรือ ฟองสบู่? ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ ยังน่าห่วง

‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น หรือ ฟองสบู่?  ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ ยังน่าห่วง

จับทิศทาง ‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น หรือ ฟองสบู่? คาดดัชนี CSI 300 ปิดปีที่ 4,675 จุด กระแส AI ดัน Hang Seng Tech พุ่งขึ้น 42% แม้ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ ยังน่าห่วง

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า “หุ้นจีน” กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างร้อนแรง ดัชนีหลักพุ่งสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ทำให้นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากต่างแห่กันเข้าตลาด แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเริ่มแสดงความกังวลว่าตลาดอาจกำลังเข้าสู่ภาวะ "ฟองสบู่" เนื่องจากราคาหุ้นที่ทะยานขึ้นนั้น ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว

‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น หรือ ฟองสบู่?  ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ ยังน่าห่วง

ดัชนี CSI 300 ของจีนแผ่นดินใหญ่ พุ่งขึ้นประมาณ 16% ตั้งแต่ต้นปี และทรงตัวใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ส่วนดัชนีเทคโนโลยี CSI 300 พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี  2558 ซึ่งเน้นย้ำถึงความร้อนแรงในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

2 ปัจจัยหนุน CSI 300 ปิด 4,675 จุด

  • ความก้าวหน้าด้าน AI และชิป

ความหวังจากการพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนโยบายของปักกิ่งที่เน้นการ พึ่งพาตนเองด้านชิป กระตุ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทำให้ดัชนี Hang Seng Tech พุ่งขึ้นถึง 42% ในปีนี้

บริษัทผู้ผลิตชิปในประเทศอย่าง Hua Hong Semiconductor Ltd. และ Semiconductor Manufacturing International Corp. มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยเพิ่มขึ้นกว่า 233% และ 140% ตามลำดับ ส่วน Alibaba Group Holding Ltd. ก็ปรับตัวขึ้นเกือบ 50% ภายในเดือนกันยายนเดือนเดียว หลังจากที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายนี้เปิดเผยแผนการระดมทุนครั้งใหญ่ในด้าน AI

  • ควบคุมสงครามราคา

การที่รัฐบาลพยายาม ควบคุมสงครามราคา ได้รับการมองว่าอาจช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรของบริษัท

‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น หรือ ฟองสบู่?  ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ ยังน่าห่วง

Bloomberg จัดทำผลสำรวจนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน 16 รายระหว่าง 18-24 ก.ย. คาดการณ์ว่า ดัชนี CSI 300 จะปิดที่ 4,675 จุด หรือปรับตัวขึ้นอีก 1.2% จากราคาปิดตลาดวานนี้ (29 ก.ย.) และคาดการณ์ว่าปี 2569 อัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 5.5% ภายในสิ้นเดือนมิ.ย.ปีหน้า

ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ น่าเป็นห่วง 

เรย์มอนด์ เฉิง จาก Standard Chartered ชี้ว่า การปรับขึ้นของราคาหุ้น "ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ"

การพุ่งขึ้นของตลาดถูกผลักดันจากนักลงทุนรายย่อย ซึ่งครองสัดส่วนการซื้อขายรายวันสูงถึงประมาณ 90% ในตลาดหุ้นจีน ต่างจากตลาดหลักอื่นที่สถาบันเป็นหลัก โดยนักลงทุนเหล่านี้ได้โยกย้ายเงินฝากบางส่วนเข้ามาในตลาด ซึ่งยอดเงินออมครัวเรือนจีนสูงเป็นประวัติการณ์ที่กว่า 160 ล้านล้านหยวน แต่มีเพียง 5% เท่านั้นที่จัดสรรไปที่หุ้น ซึ่งหมายความว่ายังมีช่องว่างให้เงินไหลเข้าตลาดได้อีกมาก

อย่างไรก็ดี สถานการณืนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลที่ว่า ข้อมูลเศรษฐกิจจีนในเดือนส.ค.แสดงสัญญาณ “ชะลอตัว” โดยตัวชี้วัดสำคัญหลายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เช่น

  • ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 5.2% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้า และเป็นอัตราที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ปี 2567
  • ยอดขายปลีก เติบโตเพียง 3.4% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์

กูรูเตือนตลาดหุ้น ‘ฟองสบู่’

เฉา ผิง จู นักวิเคราะห์ตลาดโลกจาก JP Morgan Asset Management มองว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจโดยรวมกำลังดีขึ้น การที่ตลาดหุ้นดูคึกคักในปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจในอนาคต

รายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่าบางภาคส่วนเริ่มมีเสถียรภาพและแนวโน้มดีขึ้น เช่น AI  ชิปและเซมิคอนดักเตอร์  พลังงานหมุนเวียนนอกจากนี้ นโยบายของปักกิ่งที่มุ่ง ควบคุมการทำสงครามราคา น่าจะช่วยให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสทำกำไรได้ดีขึ้น

‘หุ้นจีน’ ขาขึ้น หรือ ฟองสบู่?  ตัวเลข ‘เศรษฐกิจ’ ยังน่าห่วง

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือบริษัทชิป Cambricon บริษัทผลิตชิปของจีน รายงานกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงครึ่งปีแรก โดยกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 4,000% จากปีก่อน นี่เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำว่าบริษัทชิปในประเทศกำลังมาแรงตามการสนับสนุนของรัฐบาล

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอาจถูกนักลงทุนตีมูลค่าสูงเกินไปตามความคาดหวังที่มองโลกในแง่ดี  ซึ่งทำให้ตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลงก่อนที่กำไรจริงของบริษัทจะเติบโตได้ทันตามราคาหุ้นที่พุ่งขึ้นไปแล้ว

ด้าน เฮา หง จาก Lotus Asset Management กล่าวว่า ตลาด "กำลังเป็นไปในทิศทาง" ของฟองสบู่ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี แต่ยังไม่ถึงขั้นฟองสบู่เต็มตัว

ธนาคารโนมูระ เตือนถึงความเสี่ยงจากการกู้ยืมที่มากเกินไปและโอกาสที่จะเกิด "ฟองสบู่" เนื่องจากตลาดหุ้นยังคงพุ่งสูงขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจของจีนจะแสดงสัญญาณการถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีก็ตาม 

 

อ้างอิง CNBC Bloomberg