บทเรียน Black Swan จากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์สู่ยุค AI หุ้นสหรัฐฯ ยังฟื้นตัว ทำจุดสูงสุดใหม่

บทเรียน Black Swan จากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์สู่ยุค AI หุ้นสหรัฐฯ ยังฟื้นตัว ทำจุดสูงสุดใหม่

บล.พาย เผย ตลาดหุ้นเคยเผชิญเหตุการณ์ Black Swan ครั้งสำคัญ เช่น วิกฤติสินเชื่อปี 2008 (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์) ที่ทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 57% และสร้างความเสียหายให้ตลาดการเงินโลกกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แม้จะเผชิญวิกฤตและเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกหลายครั้ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งโดยสามารถฟื้นตัวและกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นเคยเผชิญเหตุการณ์ Black Swan ครั้งสำคัญ เช่น วิกฤติสินเชื่อปี 2008 (วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์) ที่ทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงถึง 57% และสร้างความเสียหายให้ตลาดการเงินโลกกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • แม้จะเผชิญวิกฤตและเหตุการณ์น่าตื่นตระหนกหลายครั้ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งโดยสามารถฟื้นตัวและกลับมาทำจุดสูงสุดใหม่ได้เสมอ
  • ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการฟื้นตัวคือผลกำไรที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) นับตั้งแต่หลังยุคโควิด-19
  • อนาคตของตลาดขึ้นอยู่กับผลกำไรของบริษัทที่ลงทุนใน AI ซึ่งนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ และต้องจับตาดูว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอตามที่คาดหวังไว้หรือไม่

หลายครั้งแล้วที่ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่มักส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาดหุ้นที่มีทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ค่อยดีนักซึ่งส่วนใหญ่แล้วในทางจิตวิทยาการลงทุนทุกคนมักจะตกใจกับเหตุการณ์ด้านลบมากกว่า เหตุการณ์สำคัญที่พบว่าเป็น Black Swan แล้วหุ้นตกต่ำทั่วโลกย้อนกลับไปในปี 2000 ปี 2008 และ ปี 2020
 

บล.พาย ระบุว่า บทเรียนสำคัญสุดย้อนไปในวิกฤติสินเชื่อปี 2008-2009 ที่มีปัจจัยกระตุ้นคือฟองสบู่แตกในภาคอสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯ จุดเริ่มต้นมาจากราคาที่อยู่อาศัยร่วงลงอย่างหนักตามด้วยอัตราการผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นคือมูลค่าสูงถึง US$10 ล้านล้านหายไปจากตลาดการเงินโลก รวมทั้งดัชนี S&P 500 ร่วงลง 57% ในปี 2008 และมีบริษัทยื่นขอล้มละลายอย่างเช่น Lehman Brothers, IndyMac, Countrywide Financial และ AIG

ทั้งนี้ จุดที่น่าสนใจพักหลังมานี้มีเหตุการณ์ที่น่าตื่นตระหนกแทบทุกปี ถึงแม้ว่าจะยังไม่เรียกว่าเป็นเหตุการณ์ที่จะเรียกว่าเป็น Black Swan ได้เต็มปาก ย้อนไปในปี 2023 สหรัฐฯ เผชิญวิกฤติ Bank run ระยะสั้นหลังเฟดขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 ส่งผลให้แบงก์ประสบปัญหาขาดทุนตามผลตอบแทนพันธบัตร หรือปีที่ผ่านมาก็มีเรื่องไม่น้อยที่เกิดขึ้นจากการเลือกตั้งในสหรัฐฯ สำหรับครั้งล่าสุดเลยคือเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดี โดนัลทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรหลายประเทศนับตั้งแต่วันประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 2 เม.ย.

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะฟื้นตัวหลังเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายนับเป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้เมื่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดใหม่มาได้เสมอ โดยหากหาเหตุผลก็คงมาจากปัจจัยเรื่องการทำกำไรของบริษัทที่ยังแข็งแกร่งโดยเฉพาะกำไรบริษัทเทคโนโลยีเติบโตก้าวกระโดดอย่างมากนับตั้งแต่หลังยุค โควิด-19 เป็นต้นมา 

ที้งนี้ สหรัฐฯ ยังมีการมุ่งเน้นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์กระตุ้นการลงทุนมาตลอดหลายปีมานี้ ขณะที่ปัจจัยที่นักลงทุนกังวลเรื่องฟองสบู่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ คงต้องไปรอดูผลกำไรของบริษัทที่ลงทุนในปัญญาประดิษฐ์จะยังเติบโตสม่ำเสมอได้ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่