หุ้น SAPPE ร่วง 3.62% คาดไตรมาส 3/68 กำไรหดตัว หลังเจอแรงกดดันรอบด้าน

หุ้น SAPPE ร่วง 3.62% คาดไตรมาส 3/68 กำไรหดตัว หลังเจอแรงกดดันรอบด้าน

หุ้น SAPPE ร่วง 3.62% ลดลง 1.25 บาท ระดับราคาอยู่ที่ 33.25 บาท โบรกคาดไตรมาส 3/68 กำไรหดตัว หลังเจอแรงกดดันรอบด้าน

KEY

POINTS

  • นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ากำไรของ SAPPE ในไตรมาส 3/68 จะหดตัวทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) และปีก่อน (YoY)
  • ยอดขายมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากปัญหากำลังซื้อในเกาหลีใต้, ปัญหาผู้จัดจำหน่ายในอินโดนีเซีย, ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง, นโยบายภาษีในสหรัฐฯ และสต็อกสินค้าที่สูงในไทย
  • อัตรากำไรขั้นต้นถูกกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นและประสิทธิภาพการผลิตที่ลดลงตามยอดขายที่อ่อนแอ
  • บล.เอเซีย พลัส ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568-2569 และลดราคาเป้าหมายปี 2568 ลงเหลือ 33.50 บาท จากเดิม 38.00 บาท
  • แนวโน้มระยะกลางยังคงน่ากังวล เนื่องจากปัจจัยกดดันในตลาดหลักยังไม่คลี่คลาย และการแข่งขันจากคู่แข่งที่ผลิตสินค้าคล้ายกันเริ่มสูงขึ้น

ธิดารัตน์ ผโลดม นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า SAPPE มีแนวโน้มยอดขายในช่วงไตรมาส 3/68 อ่อนแอกว่าที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้า และน่าจะหดตัวทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากหลายประเทศหลักๆ ประสบปัญหายอดขายหดตัว ได้แก่ เกาหลีกําลังซื้ออ่อนแอ อินโดนีเซียผู้กระจายสินค้าขาดประสิทธิภาพ ตะวันออกกลางมีปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สหรัฐฯได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษี และในไทยร้านค้าสต๊อกสินค้าไว้สูงในช่วงไตรมาส 2/68 ขณะที่มีเพียงตลาดยุโรปที่คาดยอดขายจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ได้เนื่องจากลูกค้าจบปัญหาเรื่องการปรับลดสต๊อกและได้แรงหนุนชั่วคราวจากคลื่นความร้อน
 

หุ้น SAPPE ร่วง 3.62% คาดไตรมาส 3/68 กำไรหดตัว หลังเจอแรงกดดันรอบด้าน

สำหรับ v อัตรากําไรขั้นต้น หรือมาร์จิ้นในช่วงไตรมาส 3/68 น่าจะถูกกดดันต่อเนื่องจากค่าเงินที่ยังแข็งค่าขึ้น QTD และยอดขายที่อ่อนแอลงทําให้ประสิทธิภาพการผลิตลด โดยคาดมาร์จิ้นจะหดตัวทั้ง QoQ และ YoY และคาดว่ากําไรจะหดตัวทั้ง QoQ และ YoY ในไตรมาส 3/68 จากทั้งยอดขายและมาร์จิ้นที่หดตัว 

นอกจากนี้ เรายังมีความกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของบริษัทในไตรมาส 4/68 -ปี 2569 เนื่องจากปัจจัยที่กดดันยอดขายของบริษัทในหลายประเทศ  เช่น สหรัฐฯ เกาหลี และอินโดนีเซียน่าจะยังไม่คลี่คลายโดยเร็ว
 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกําไรสุทธิปี 2568 ลง 12% ในปี 2568 เหลือ 954 ล้านบาท -24% YoY และปี 2569 ลง 11% มาอยู่ที่ 1,017 ล้านบาท +7% YoY พร้อมทั้งปรับลดราคาเป้าหมายปี 2568 ลงเหลือ 33.50 บาท อิง PER ที่ระดับ 10.8 เท่า หรือ -2.0S.D.  จากเดิม 38.00 บาท พร้อมทั้งคงคําแนะนํา Underperform เนื่องจากคาดแนวโน้มกําไรอ่อนแอในไตรมาส 3/68 ขณะที่ประเมินแนวโน้มผลประกอบการในระยะกลางจะยังไม่สดใสจากหลายปัจจัยกดดันที่ยังไม่คลี่คลาย รวมถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งรายอื่นที่เริ่มผลิตสินค้าในลักษณะคล้ายกัน