‘กลุ่มแบงก์’ เสน่ห์ปันผลสูง โบรกเกอร์ยก ‘เอสซีบี เอกซ์-กรุงไทย’ จ่ายผลตอบแทน ‘สูงสุด’ ในธนาคารใหญ่

‘กลุ่มแบงก์’ เสน่ห์ปันผลสูง โบรกเกอร์ยก ‘เอสซีบี เอกซ์-กรุงไทย’ จ่ายผลตอบแทน ‘สูงสุด’ ในธนาคารใหญ่

‘กลุ่มแบงก์’ เสน่ห์ปันผลสูง โบรกเกอร์ยก ‘เอสซีบี เอกซ์-กรุงไทย’ จ่ายผลตอบแทน ‘สูงสุด’ ในธนาคารใหญ่ “บล.เอเซีย พลัส” คาดครึ่งหลัง “กำไร” ชะลอ จาก “ดอกเบี้ยขาลง” เข้มปล่อยสินเชื่อ

ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 “กลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย” (แบงก์) ยังคงต้องเผชิญกับ “แรงกดดัน” จากอัตราดอกเบี้ยขาลง การปล่อยสินเชื่อที่ระมัดระวัง และค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่สูงขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปี ทำให้แนวโน้ม “กำไร” อาจชะลอตัวลงได้ เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2568 แต่ทว่าในอีกมุมหนึ่ง “หุ้นธนาคาร” ยังคงน่าสนใจ เพราะให้ “อัตราผลตอบแทน” จาก “เงินปันผล” ที่ระดับสูงถึง 6-8% จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนทยอยสะสมในช่วงราคาที่อ่อนตัวได้

‘กลุ่มแบงก์’ เสน่ห์ปันผลสูง โบรกเกอร์ยก ‘เอสซีบี เอกซ์-กรุงไทย’ จ่ายผลตอบแทน ‘สูงสุด’ ในธนาคารใหญ่

“ภาสกร หวังวิวัฒน์เจิรญ” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ผลประกอบการของ “กลุ่มธนาคาร” ในครึ่งปีหลังของปี 2568 มีแนวโน้มลดลงจากครึ่งปีแรกของปี 2568 เนื่องจากเข้าสู่ “วงจรดอกเบี้ยขาลง” จึงเป็นแรงกดดันหลักต่อธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ รวมถึงธนาคารยังคงเติบโตสินเชื่ออย่าง “ระมัดระวัง” และไม่เร่งปล่อยกู้มาก ยิ่งในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวปัจจุบัน เพื่อเป็นการลดปัญหา “หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้” หรือ NPL ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น โดยปกติแล้วในช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีของกลุ่มธนาคารจะมีค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงที่สุดของปี ส่งผลทำให้ภาพรวมของ “กำไร” ในครึ่งปีหลังต่ำกว่าครึ่งปีแรก 

 

ทั้งนี้ ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงยังให้น้ำหนักการลงทุนเป็นกลาง หรือ “เท่าตลาด” แต่ทว่าหุ้นกลุ่มธนาคารยังมีโอกาสการลงทุนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่คาดว่าจะอยู่ระดับ 6-8% ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ประมาณ 3-4% แม้จะเผชิญกับแรงกดดันด้านผลประกอบการ

อย่างไรก็ตาม หากราคาหุ้นมีการอ่อนตัวลงมา โดยเฉพาะในช่วงเดือน ก.ย.2568 หรือหลังขึ้นเครื่องหมาย XD ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 10 ก.ย.68 นี้ หรือเดือนต.ค.2568 ถือเป็น โอกาสที่ดีในการเข้าสะสมหุ้น โดยการลงทุนในช่วงดังกล่าวจะนำไปสู่ช่วง “การจ่ายเงินปันผลประจำปี” ในเดือน ก.พ.2568 โดยมีระยะเวลาประมาณ 6 เดือนที่ยังคงน่าสนใจ สำหรับการลงทุนเพื่อรับเงินปันผล

สำหรับหุ้นธนาคารที่น่าสนใจได้แก่ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB และ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB

ซึ่ง 2 ธนาคารนี้ให้ “ผลตอบแทน” จาก “เงินปันผล” และ “อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” หรือ ROE สูงสุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และบริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เป็นตัวเลือกหลักที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากภาวะ “ดอกเบี้ยขาลง” 

“กรรณ์ หทัยศรัทธา” หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน และ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย บล.ซีจีเอส-อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 มีทั้งปัจจัยบวกและลบที่กำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจธนาคาร ท่ามกลางสถานการณ์ที่คาดว่า เศรษฐกิจ และการเมืองทั้งใน และต่างประเทศจะนำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ย

โดยคาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในเดือนต.ค. และธ.ค. นี้ ซึ่งจะส่งผลให้อัตรากำไรที่เกิดจากดอกเบี้ยถูกบีบ ขณะเดียวกันธนาคารมีความต้องการที่จะควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่ปล่อยไปเพื่อไม่ให้กลายเป็นหนี้เสีย ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องดีสำหรับธนาคารในการบริหารความเสี่ยง แต่ทว่าการปล่อยสินเชื่อที่ยากขึ้นสำหรับครัวเรือน และภาคธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงแม้ดอกเบี้ยจะปรับลดลง แต่การที่ธนาคารปล่อยสินเชื่อยากขึ้น ทำให้ผลกระทบจากการลดดอกเบี้ยต่อกำไรไม่ได้เป็นไปในสัดส่วน 1 : 1 และมีจำกัดกว่าเมื่อเทียบกับรอบที่ผ่านมา ดังนั้น เชื่อว่าธนาคารน่าจะยังคงสามารถรักษากำไรได้ที่ไตรมาสละ 10,000 ล้านบาทได้

นอกจากนี้ธนาคารมีการเติบโตในธุรกิจอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจประกันภัย การบริหารความมั่งคั่ง วาณิชธนกิจ และธุรกิจอื่นๆ ซึ่งสัดส่วนรายได้จากธุรกิจเหล่านี้เริ่มสูงขึ้น

ขณะเดียวกันในช่วงที่การเมืองมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ประเด็นการยุบสภาหรือการเลือกตั้งใหม่ กลุ่มธนาคารเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง และถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่น่าสนใจ โดยหุ้นกลุ่มธนาคารที่น่าสนใจได้แก่ KTB มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ซึ่ง BBL มีสัดส่วนสินเชื่อภาคธุรกิจที่สูงที่สุด ทำให้ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาลงมากที่สุด ขณะที่ SCB มีพอร์ตสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์จำนวนมาก ซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัวได้ยากจากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน

“ตฤณ สิทธิสวัสดิ์” นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มกำไรกลุ่มธนาคารในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ไตรมาส 3-4 ปี 2568 มีแนวโน้มจะค่อยๆ ลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ปี 2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ปัจจัยหลักมาจากการที่ “อัตราดอกเบี้ยเงินกู้มีแนวโน้มลดลง” ประกอบกับการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอตัวลง ทำให้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการทำสินเชื่อ หรือการขายประกัน นายหน้าลดลง ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่า การตั้งสำรองหนี้เสียมีแนวโน้มทรงตัว หรืออาจจะลดลงได้บ้างเนื่องจากธนาคารได้เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมาหลายไตรมาสแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลประกอบการจะชะลอตัว แต่กลุ่มธนาคารยังคงเป็นกลุ่มที่น่าสนใจในแง่ของเงินปันผลสูงเมื่อเทียบกับธนาคารในภูมิภาคเอเชีย ด้วยฐานเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารไทยมีศักยภาพในการจ่ายปันผลในระดับที่ไม่ด้อยกว่าภูมิภาค ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังคงทำให้นักลงทุนเชื่อมั่น และสะสมหุ้นกลุ่มธนาคารอยู่ตราบใดที่กำไรไม่ได้ลดลงมากนัก การจ่ายปันผลก็ยังคงสูง

สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มแบงก์ให้น้ำหนักกับหุ้น ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะประกาศในช่วงปลายเดือนนี้ คาดเงินปันผลระหว่างกาลประมาณ 3% บวกกับ TTB ได้รับผลกระทบจากภาวะดอกเบี้ยขาลงน้อยกว่าธนาคารใหญ่ เนื่องจากธนาคารมีสัดส่วนของสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยคงที่ ที่สูงกว่า โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ซึ่งมาจากพอร์ตของธนชาต 

ขณะที่ ในช่วงต้นปีหน้า TTB อาจจะประกาศซื้อหุ้นคืนรอบที่ 2 ต่อเนื่องจากรอบแรกที่ครบกำหนดไปแล้ว เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะดำเนินการซื้อหุ้นคืนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์