เดินหน้าพลิกโฉม‘ตลาดทุนไทย’ปลดล็อก‘กับดักกฎหมาย’ล้าสมัย

 เดินหน้าพลิกโฉม‘ตลาดทุนไทย’ปลดล็อก‘กับดักกฎหมาย’ล้าสมัย

ไทยเผชิญความท้าทาย ทั้งปัญหากับดักรายได้ปานกลาง วิกฤตหนี้ครัวเรือน หนี้เสียสูง โครงสร้างประชากรเข้าสู่สังคมสูงวัย ขาดแคลนแรงงาน ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน

KEY

POINTS

  • ตลาดทุนไทยเผชิญกับ “กับดักกฎหมาย” ที่ล้าสมัยซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตและความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงต้องเร่งปฏิรูปเพื่อพลิกโฉมตลาดทุน
  • เสนอปลดล็อกกฎหมาย 5 ประเด็นสำคัญ เช่น เพิ่มความรวดเร็วในการบังคับใช้กฎหมาย, ทำให้การระดมทุนง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจยุคใหม่ (New Economy) และปรับปรุงกระบวนการ IPO เป็นแบบเปิดเผยข้อมูล (Disclosure-based)
  • ผลักดันการปฏิรูปกฎหมายให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยเสนอให้ใช้กฎหมายแบบ Omnibus เพื่อรวบรวมและแก้ไขกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้องพร้อมกันให้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
  • เป้าหมายของการปฏิรูปกฎหมายคือเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น ดึงดูดบริษัทระดับโลก และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค (Regional Hub)

ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็น “กับดัก” ที่ฉุดรั้งการเติบโตของประเทศไทย   ขณะที่นานาชาติเริ่มก้าวแซงหน้าไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ในวาระครบรอบ 38 ปี “กรุงเทพธุรกิจ” ได้นำเสนอทิศทางการหลุดพ้นจากกับดักประเทศแต่ละด้าน รวมทั้งจะสัมมนาใหญ่ประจำปี“Thailand Economic Outlook 2026” ในแนวคิด “Out of the Trap” เพื่อร่วมกันหาทางออกให้ประเทศในวันที่ 9 ต.ค.2568

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมให้มุมมองว่า  ตลท.มีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะแหล่งระดมเงินทุนหลักของประเทศในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา แต่ช่วงทศวรรษที่หายไป ประเทศไทยเจอปัญหาการระดมทุน ทำให้บริษัทเข้าระดมทุนไม่ได้ อีกทั้งมีปัญหาสภาพคล่องและประเด็นธรรมาภิบาลที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยมาก

ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ตลาดทุนไทยต้องเร่ง คือ “ปลดล็อกกับดักกฎหมาย” โดยกระบวนการแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายใช้เวลานานมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ 

5 เรื่องปลดล็อกกฎหมายตลาดทุนไทย

สำหรับประเด็นการปลดล็อกกฎหมายตลาดทุนไทยมี 5 เรื่องสำคัญที่ต้องปลดล็อกด้านกฎหมายตลาดทุนไทย คือ 

1.การบังคับใช้กฎหมายและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด โดยตลท.และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับหน่วยงานอื่น เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)เพื่อดำเนินคดีกับผู้ฉ้อฉลในตลาดทุนอย่างรวดเร็ว (เช่น กรณีหุ้น STARK และ MORE) 

แต่กระบวนการยังเร่งได้อีก มองว่า ก.ล.ต. ควรมีบทบาทเป็น “พนักงานสอบสวนในคดีที่มีผลกระทบสูง” ซึ่งร่างกฎหมายนี้ยังค้างที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

2.การคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อย โดยมีหลายกรณีที่เจ้าของธุรกิจนำหุ้นไปค้ำประกัน (Margin loan) ที่นักลงทุนไม่ทราบ โดยร่าง พ.ร.บ.กำลังแก้ไขเพื่อกำหนดให้เจ้าของหรือผู้บริหารต้องแจ้งต่อสาธารณะเมื่อนำหุ้นของตนไปเป็นหลักประกัน เพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจได้ถูกต้อง

3.การระดมทุนที่ง่ายขึ้นไม่ว่าจะเป็นการจัดประเภทหุ้นใหม่ โดยเสนอแก้กฎหมายรองรับหุ้นบุริมสิทธิ์หรือหุ้นแบบ Dual Class (Class A, Class B) สำหรับบริษัทที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะบริษัทต่างชาติที่ได้รับสิทธิส่งเสริมการลงทุน(BOI) ซึ่งต้องการระดมทุนแต่ไม่ต้องการเสียอำนาจควบคุมหรือกำไรมากเกินไป 

รวมทั้งที่สำคัญ คือ การสร้างตลาดใหม่สำหรับ New Economy โดย ตลท.ศึกษาแนวทางให้ธุรกิจใหม่ เช่น เทคโนโลยีการแพทย์ (Health Tech) หรือ Startup ที่มีศักยภาพสูงมาจดทะเบียนใน ตลท.ง่ายขึ้น ซึ่งปรับจากเกณฑ์กำไร 3 ปี มาใช้ระบบ “Disclosure-based” (การเปิดเผยข้อมูล) เพื่อให้นักลงทุนตัดสินใจเอง

4.การปรับปรุงกระบวนการ IPO โดยเปลี่ยนจากระบบ “Merit-based” เป็นระบบ “Disclosure-based” เน้นการเปิดเผยข้อมูล ซึ่งในภูมิภาคและตะวันตกใช้อยู่แล้ว จะช่วยลดระยะเวลาการทำ IPO มากจากปัจจุบันเร็วสุดในไทย 2 ปี ให้เหลือเพียงไม่ถึงเดือนครึ่งเหมือนฮ่องกง รวมถึงผ่อนปรนข้อจำกัดบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพที่ต้องการจดทะเบียนในไทย เช่น ผู้สอบบัญชี

5.การปลดล็อกข้อจำกัดที่ไม่สอดคล้องปัจจุบัน เช่น ข้อกำหนดที่กรรมการบริษัทมหาชน 1 ใน 3 ต้องอยู่ในไทย ซึ่งปัจจุบันประชุมออนไลน์ได้ รวมถึงการลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจของโบรกเกอร์และผู้สอบบัญชี เช่น การส่งจดหมายหรือจัดประชุมยังต้องใช้เอกสาร 

เวลาจำกัด 4 เดือน โอกาสปฏิรูป กม.

ทั้งนี้ แม้รัฐบาลมีเวลาจำกัดเพียง 4 เดือน แต่การผลักดันกฎหมายทำได้จริงหากเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยเสนอให้แก้กฎหมายแบบ Omnibus รวมกฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง (เช่น พ.ร.บ.ฟื้นฟูตลาดทุน, กฎหมายมหาชน, กฎหมายหลักทรัพย์) 

พร้อมกับ “ตั้งคณะกรรมการพิเศษ” เพื่อยกร่างกฎหมาย โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมด้วย และลดแต่ละขั้นตอนรวมถึงการรับฟังความเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแบบคู่ขนาน เพื่อผลักดันกฎหมายให้ตลาดทุนไทยออกจากกับดักได้ รวมถึง “พิจารณาออกเป็น พ.ร.ก.” เพื่อบังคับใช้ทันทีแม้มีความท้าทายทางการเมือง แต่หากทุกฝ่ายเห็นชอบจะพลิกโฉมประเทศ

"นี่คือโอกาสเดียวที่จะปฏิรูปตลาดทุนไทยอย่างมีนัยสำคัญให้สำเร็จใน 4 เดือน ด้วยการใช้กฎหมายแบบ Omnibus ซึ่งจะปรับโครงสร้างฐานที่ไทยไม่เคยทำจริงจังมาก่อน “หากทำสำเร็จจะเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อตลาดทุนไทย และช่วยให้ไทยก้าวพ้นกับดักต่าง ๆ ได้”

ฟื้นความเชื่อหนุนไทยสู่ Regional Hub

หากการปฏิรูปกฎหมายตลาดทุนรอบนี้สำเร็จจะส่งผลดีมหาศาลแบบ “พลิกโฉมตลาดทุนไทย” ด้วยการเพิ่มความโปร่งใสและดึงดูดนักลงทุน จากกระบวนการอนุญาตที่โปร่งใสและเป็นออนไลน์จะสร้างความมั่นใจให้ต่างชาติ

ยิ่งไปกว่านั้นยัง “ดึงดูดบริษัทระดับโลก” ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดในภูมิภาค จะได้เป็น Regional Hub ดึงดูดบริษัทต่างชาติที่มีศักยภาพสูง เช่น EV, Data Center เข้าตั้งธุรกิจในไทย และ “เพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียน”

ตลท.ตั้งเป้าเพิ่มบริษัทดี ๆ เข้ามากว่า 100 บริษัทภายใน 2 ปี และเพิ่มเป็น 1,000 บริษัทในอนาคต โดยเน้นธุรกิจ New Economy เช่น เทคโนโลยี, HealthCare, Startup ที่มีศักยภาพ และกำลังศึกษาตั้งกองทุนรวมพิเศษเพื่อลงทุนในNew Economy 

นอกจากนี้ ตลท.สนับสนุน “Thailand Investment Account” (TIA) เพื่อส่งเสริมนักลงทุนหน้าใหม่ซื้อหุ้นได้เอง โดยรับสิทธิลดหย่อนภาษี ซึ่งจะกระตุ้นตลาดและเพิ่มฐานนักลงทุน อย่างมาตรการล่าสุด ”บัญชีออมหุ้นไทย” (TISA) ซื้อหุ้นรายตัวแล้วนำไปลดหย่อนภาษีแต่ละปีคล้ายโมเดลบัญชีการลงทุนปลอดภาษีของญี่ปุ่น (NISA)

พร้อมชี้ว่าไทยควรปรับโครงสร้างภาษีเพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจโปร่งใสมากขึ้นเพราะปัจจุบันมีนิติบุคคล 900,000 แห่ง แต่เสียภาษีเพียง 100,000 แห่ง 

สกัดทุจริตฉ้อฉลยุคตลาดทุนยุคดิจิทัล 

ที่สำคัญมุ่งเน้น “ลดปัญหาคอร์รัปชัน” ผ่านระบบขออนุญาตที่โปร่งใสขึ้นและบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดจะลดปัญหาการทุจริต และยอมรับว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเลี่ยงไม่ได้ 

ทั้ง Stable Coin, Tokenization และ Digital Asset  บทบาทสำคัญในการกำกับดูแลและส่งเสริม คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย, ก.ล.ต. และกระทรวงการคลัง ที่ต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินและป้องกันการฟอกเงิน ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็พร้อมที่จะออกแบบโครงสร้างเพื่อกำกับดูแลการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อาจจะเป็นการสร้างตลาดซื้อขายเฉพาะขึ้นมา

"ธรรมาภิบาล" มาคู่กับการให้ความรู้

หัวใจสำคัญของ ตลท.เน้นธรรมาภิบาลและมาคู่กับการให้ความรู้ โดยระบบ Disclosure-based ใน IPO ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบที่เข้มแข็งจากผู้สอบบัญชี, ที่ปรึกษาทางการเงินและผู้บริหาร หากเปิดเผยข้อมูลเท็จต้องถูกลงโทษรวดเร็ว 

นอกจากนี้ ควรปรับใช้กฎเกณฑ์ที่ยืดหยุ่นตามความเสี่ยงและระดับธรรมาภิบาลของบริษัท ไม่ควรใช้มาตรฐานเดียวทุกบริษัท (one-size-fits-all) โดยเฉพาะ SME ที่อาจมีต้นทุนสูงในการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลบางอย่าง 

ด้านการให้ความรู้ ตลท.ให้ความสำคัญอย่างมากกับ Financial Literacy (ความรู้ทางการเงิน) เป็นวาระแห่งชาติที่ทุกหน่วยงานเศรษฐกิจต้องร่วมกันผลักดัน  เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนและส่งเสริมให้คนไทยมีความสามารถในการวางแผนการเงินตั้งแต่เด็กและเดินหน้าสนับสนุนธุรกิจครอบครัวสู่ความยั่งยืนด้วย “6C”