เอกชน แห่ออกหุ้นกู้สูงสุดรอบปี ตลาดจับตา สบน.ประชุม Market Dialog

ThaiBMA เผยยอดออก “หุ้นกู้เอกชน” เดือนส.ค. พุ่ง “พลิกสูงสุดรอบปี” รับแรงหนุน “ดอกเบี้ยขาลง” แตะระดับต่ำสุด ตลาดจับตา “ความผันผวน” จากการ “ออกบอนด์ภาครัฐ” และปัจจัยนอก
KEY
POINTS
- เดือนสิงหาคม 2568 ภาคเอกชนออกหุ้นกู้มูลค่า 1.33 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่พลิกกลับมาสูงสุดในรอบปี
- ปัจจัยหนุนมาจากบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเครดิตดีใช้จังหวะที่ตลาดมองว่าดอกเบี้ยนโยบายถึงจุดต่ำสุดแล้ว กลับมาเสนอ
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา พบยอดขายหุ้นกู้ มีมูลค่า 133,000 แสนล้านบาท ถือเป็นเดือนแรกที่มียอดออกหุ้นกู้พลิกกลับมา “ออกขายสูงสุดในรอบปีนี้” ทำให้ในรอบ 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค. 2568) ยอดขายหุ้นกู้ มีมูลค่า 575,000 ล้านบาท ลดลง 10% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มีมูลค่า 640,00 ล้านบาท ถือเป็นการลดลงที่ชะลอตัวลง จากช่วงครึ่งปีแรกเอกชนขายหุ้นกู้ลดลงถึง 19% หรือลดลงจากเดือนก.ค. ลดลงถึง 21%
สำหรับปัจจัยหนุนที่ทำให้เอกชนกลับมาเสนอขายหุ้นกู้เพิ่มขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปีนี้ ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากแล้ว ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ เครดิตเรตติ้งดี ได้เปรียบด้านต้นทุนดอกเบี้ยลดลง ใช้จังหวะนี้เป็นช่วงที่ดีกลับมาออกหุ้นกู้ในเดือนส.ค. และยังเห็นยอดแจ้งจะมีการเสนอขายต่อเนื่องในเดือนก.ย.นี้มากกว่า 80,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ เดือนส.ค.2568 มีบริษัทขนาดใหญ่ออกขายหุ้นกู้ ได้แก่ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ 38,000 ล้านบาท, บมจ.จี แคปปิตอล 18,000 ล้านบาท, บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น 18,000 ล้านบาท, บมจ.เมืองไทยแคปปิตอล 10,000 ล้านบาท , บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) 9,800 ล้านบาท , บมจ.โตโยต้า ลีสซิ่ง 8,000 ล้านบาท,บมจ.เบทาโก้ 5,000 ล้านบาท และ บมจ.ศุภาลัย 2,000 ล้านบาท
ส่วนเดือนก.ย. 2568 มีบริษัทขนาดใหญ่ ที่ออกขายหุ้นกู้ ได้แก่ บมจ.ปตท. 20,000 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้ปตท.ครบกำหนดไปแล้ว รอจังหวะดอกเบี้ยลงกลับมาเสนอขายหุ้นกู้ในช่วงนี้ ซึ่งผลตอบรับดีและมีความต้องการล้นหลาม นอกจากนี้ยังมี CPNREIT 6,000 ล้านบาท ,บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป 9,000 ล้านบาท , บมจ.บัตรกรุงไทย 5,000 ล้านบาท , บมจ. เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ 3,000 ล้านบาท
“ยอดออกหุ้นกู้ตั้งแต่ต้นปีนี้ลดลงมากต่อเนื่อง แต่ในเดือนส.ค. เอกชนกลับมาออกหุ้นกู้สูดสุดในรอบปีนี้ หลังจากตลาดมองดอกเบี้ยของไทยถึงจุดต่ำสุดแล้ว เป็นจังหวะที่ดีและความได้เปรียบต้นทุนดอกเบี้ยของบริษัทใหญ่ เรตติ้งดี กลับมาออกหุ้นกู้ ตลาดยังมีความต้องการซื้ออยู่มาก”
ด้านหุ้นกู้มีปัญหานั้น ปัจจุบันสถานการณ์หุ้นกู้มีปัญหายังเป็นปกติ และนักลงทุนเริ่มคุ้นเคยกับหุ้นกู้ขอยืดชำระหนี้ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นรายเดิมๆที่เคยขอยืดชำระหนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วนแนวโน้มในระยะข้างหน้า ยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย มองว่าบริษัทขนาดใหญ่ มีความมั่นสูง เครดิตเรตติ้งดียังเดินหน้าต่อไปได้ นักลงทุนทั้งรายย่อยและสถาบันยังมีความต้องการซื้อสูง ช่วยซัพพอร์ตตลาดหุ้นกู้ในปีนี้ สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนเริ่มกลับมามากขึ้น แต่หากบริษัทที่เคยมีเครดิตเรตติ้งและงบการเงินที่ดีมาก่อน แต่เริ่มมีปัญหาชำระหนี้หุ้นกู้ เป็นกรณีที่เซอร์ไพร์สตลาดก็อาจตลาดตกใจได้ เราก็ยังติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตลาดการเงินไทยยังไม่พบความผิดปกติ แม้ตลาดจะเกิดความกังวลจากการประชุม “Market Dialog” ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ในวันนี้ (19 ก.ย.) ซึ่งตลาดคาด สบน. อาจประกาศวงเงินออกพันธบัตรรัฐบาลสูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
กองทุนในประเทศเริ่มปรับพอร์ตลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง โดยมีการขายพันธบัตรระยะยาวออกจากพอร์ต และเริ่มกลับเข้าซื้อพันธบัตรระยะสั้นอีกครั้งวานนี้ (18 ก.ย.) สะท้อนการบริหารความเสี่ยงตามภาวะตลาด
นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ ThaiBMA เปิดเผยว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นอายุ 2 ปี ก่อนมีข่าวการประชุม สบน. อยู่ที่ 1.75% และปรับขึ้นเป็น 2.10% ณ 16 ก.ย. อย่างไรก็ตาม ล่าสุด (17 ก.ย.) ยีลด์เริ่มปรับลดลงมาอยู่ที่ 2.04% สะท้อนสัญญาณการกลับเข้าซื้อของกองทุนอีกครั้งแล้ว
“เมื่อบอนด์ยีลด์ปรับขึ้นถึงจุดหนึ่งกองทุนมักจะปรับลดระยะเวลาการถือครองเป็นเรื่องปกติ ยังไม่พบสัญญาณการไหลออกของเงินทุน (Fund Run) แต่อย่างใด”
ทั้งนี้ การออกพันธบัตรของ สบน. ในอดีตมีทั้งช่วงที่ออกมากและน้อยสลับกันไป โดยหากออกมาก มักเห็นพฤติกรรมตลาดปรับพอร์ตคล้ายกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ปีนี้มีปัจจัยภายนอกจากต่างประเทศที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้ยีลด์ผันผวนและ มีความกังวลมากกว่าปกติ
โดยตลาดยังคงรอติดตามผลการประชุม Market Dialog ของ สบน. ซึ่งอาจมีการปรับลดตัวเลขออกพันธบัตรจากที่เคยประเมินไว้ เพื่อดูแลเสถียรภาพตลาดและลดความผันผวน ได้เช่นในอดีนที่ผ่านมา







