‘วายุภักษ์1’ ลุยลงทุนหุ้นปันผล รับ ‘ผลตอบแทน’ เฉลี่ยสูง 4%

‘วายุภักษ์1’ ลุยลงทุนหุ้นปันผล รับ ‘ผลตอบแทน’ เฉลี่ยสูง 4%

“กองทุนวายุภักษ์ 1” มองบวก “หุ้นไทย” กลับเข้าสู่ภาวะสมดุล หลังดัชนีแตะ 1,300 จุด โมเมนตัมดี ลั่นผลงานครบ 1 ปี “พอใจ” แม้ตลาดผันผวนหนักเกินไปปั้น “ผลตอบแทน” ดีกว่าคาด

KEY

POINTS

  • กองทุนวายุภักษ์ 1 เน้นกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นปันผลสูง เพื่อรับผลตอบแทนเฉลี่ย 4% ซึ่งสอดคล้องกับภาวะตลาดหุ้นไทยที่กลับสู่สมดุล
  • พอร์ตการลงทุน 90% จะมุ่งเน้นหุ้น 3 กลุ่มหลัก คือ หุ้นกลุ่มการบริโภคในประเทศ, หุ้นปันผลสูง และหุ้น ESG ที่มีความผันผวนต่ำ
  • กองทุนใช้กลยุทธ์ปรับพอร์ตตามสภาวะตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้น่าพอใจ แม้ในภาวะตลาดผันผวน โดยล่าสุดมีผลตอบแทนอยู่ที่ 5.26%

หลังจากช่วงเวลาที่ “ตลาดหุ้นไทย” เผชิญแรงกดดันจนดัชนีเกือบหลุดระดับ 1,000 จุด แต่เปิดสัปดาห์นี้ (15-17 ก.ย.68) ดัชนีฟื้นตัวแตะระดับ 1,300 จุดอีกครั้ง พร้อมส่งสัญญาณ “กลับสู่ภาวะสมดุล” กับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเงินปันผลเฉลี่ยยังอยู่ในระดับ 4% สะท้อนความมั่นใจนักลงทุนในระยะกลางถึงยาว

นางสาวชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นมาสู่ “ภาวะสมดุล” กับปัจจัยพื้นฐานมากขึ้น ด้วยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 1,300 จุด และจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 4% จากก่อนหน้านี้ที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงเกือบหลุดระดับ 1,000 จุด แต่จ่ายเงินปันผลเฉลี่ยยังสูงถึง 5% สะท้อน “ภาวะมากเกินปัจจัยพื้นฐาน” 

‘วายุภักษ์1’ ลุยลงทุนหุ้นปันผล รับ ‘ผลตอบแทน’ เฉลี่ยสูง 4%

ขณะเดียวกัน ในมุมมองผู้จัดการกองทุนหลายแห่งต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือปีนี้จนถึงปี 2569 คาดดัชนีหุ้นไทยยืนเหนือ 1,300 จุดได้ ด้วยกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) มีทิศทางบวกมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังต้องรอติดตามตัวเลขที่แท้จริงปลายปีนี้ เป็นไปได้ตามที่คาดไว้หรือไม่ เพื่อประเมินทิศทางที่ชัดเจนในปีหน้าต่อไป ซึ่งในช่วงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้งเข้ามาบริหารงานช่วง 4 เดือนปีนี้ ยังต้องรอดูจะมีนโยบายเดินหน้าเศรษฐกิจไทย จะสามารถผลักดันการเติบโตภายในประเทศ ทั้งการบริโภค และท่องเที่ยวได้ตามเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน

หลังจากนั้นทิศทางการเมืองยังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ในปีหน้า มองว่าอาจต้องเป็นช่วงหยุดพักเพื่อรอติดตามความชัดเจน ทั้งการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่ และนโยบายรัฐบาลใหม่ที่จะมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไประยะข้างหน้า รวมถึงปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวกับนโยบายภาษีทรัมป์ และทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะสร้างความผันผวนในตลาดทุนได้

ดังนั้น แผนการลงทุนช่วงที่เหลือปีนี้ และในปีหน้า กองทุนวายุภักษ์หนึ่งคาดหวังรักษาการให้ “ผลตอบแทน” ได้ดีกว่าที่คาดไว้  ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นในปีนี้ที่ “หนักเกินไป” แม้ขณะนี้เริ่มกลับสู่ “ภาวะสมดุล” มากขึ้น และยังมีแนวโน้มเชิงบวกต่อปีหน้าแล้ว แต่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ 

นางชวินดา กล่าวว่า กองทุนวายุภักษ์หนึ่ง มีกลยุทธ์การลงทุนโดดเด่น ด้วยการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนตามภาวะตลาดต่อเนื่อง และทันสถานการณ์สร้างผลตอบแทนได้ทั้งขาขึ้น และขาลงแล้ว ซึ่งมองมีโอกาสเติบโตระดับที่ดี โดยการลงทุนสัดส่วนใน 90% ของพอร์ตลงทุนหุ้นไทยจะเน้นลงทุนหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้อง “การบริโภคภายในประเทศ” (Domestic Consumption) “หุ้นปันผลสูง” และ หุ้น ESG ต้องมีค่าความผันผวนต่ำ ไม่เชื่อมโยงกับนโยบายภาษีของทรัปม์

รวมถึงมีผู้จัดการกองทุนจะมีเครื่องมือติดตามสถานการณ์อย่างทันท่วงที เพื่อปรับพอร์ตขายหุ้นบางตัวที่เคยถือมาระยะหนึ่งมีกำไรจะขายทำกำไร และสลับเปลี่ยนลงทุนในหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตดีต่อเนื่อง หรือออกจากหุ้นที่มี Valuation ตึงตัวแล้วไปลงทุนในหุ้นที่มี Valuation เหมาะสม และไม่ลงทุนเต็มพอร์ตในช่วงตลาดผันผวน เพื่อรักษาความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยง

อีกทั้งด้วยหลักเกณฑ์การลงทุนของกองทุนนี้เปิดกว้าง ในหลากหลายสินทรัพย์ เช่น ตราสารหนี้ สินทรัพย์ทางเลือก เพื่อลดความผันผวน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน แต่มีสัดส่วนลงทุนไม่มาก 10% ของพอร์ตลงทุน ยังมี “เงินปันผล” ที่ได้รับที่ดีทำให้มีเม็ดเงินลงทุนใหม่ โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนอย่างเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม การบริหาร “กองทุนวายุภักษ์ 1” ใกล้ครบรอบ 1 ปีในเดือนต.ค.นี้ ถือเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางภาวะหุ้นไทยที่ปรับตัวลงในปีนี้เรียกได้ว่า “หนักมากเกินไป” และ “ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว” ยังแนวโน้มเชิงบวกต่อได้ ณ 16 ก.ย.2568 กองทุนวายุภักษ์ 1 ผลตอบแทน 5.26% รวมจ่ายเงินปันผลแล้ว 2 รอบ พอร์ตลงทุนถือครองหุ้นหลักในกลุ่มการเงิน และพลังงานที่มีความมั่นคง และศักยภาพเติบโตระยะยาว NAV 10.38 บาท มีสินทรัพย์ภายใต้บริหารจัดการ (AUM) ทั้งบลจ.กรุงไทย และ บลจ.เอ็มเอฟซี รวมกันราว 486,000 ล้านบาท

ในส่วนกองทุน Thai ESG หรือ Thailand ESG Fund (กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน) ซึ่งมีสิทธิพิเศษให้ผู้ลงทุนสามารถนำจำนวนเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยตามปกติแล้วเมื่อภาวะหุ้นไทยมีโมเมนตัมเชิงบวกมากขึ้นในช่วงท้ายปีนี้จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามา เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน

ส่วนด้านผลตอบแทนกลุ่ม ESG แม้ผลตอบแทนสั้นอาจลดลงตามภาวะตลาด แต่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีระยะยาวแน่นอนว่า ระหว่างทางย่อมมีมุมมองในแง่ร้ายเกิดขึ้นได้ แต่มุมมองเช่นนี้มักจะทำให้เสียโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุนระยะยาว

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์