จับสัญญาณ ‘หุ้นขนาดใหญ่’ เคลื่อนทัพรับแรงหนุน ‘ฟันด์โฟลว์’

จับสัญญาณ ‘หุ้นขนาดใหญ่’ เคลื่อนทัพรับแรงหนุน ‘ฟันด์โฟลว์’

นักวิเคราะห์ชี้ว่าในกลุ่ม 4 หุ้นใหญ่ มีเพียง GULF ที่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง ขณะที่อีก 3 ตัวมีอัปไซด์จำกัด ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับฐานลงได้ อย่างไรก็ตาม หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง อาจกระตุ้นให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสผลักดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,330 จุดได้

KEY

POINTS

  • ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวโดดเด่นกลับมาแตะระดับ 1,300 จุด โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจาก “หุ้นขนาดใหญ่” 4 ตัวหลัก ได้แก่ THAI, AOT, DELTA และ GULF
  • การทะยานขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ได้รับแรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ที่เริ่มมีสัญญาณไหลกลับเข้ามาซื้อสุทธิในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากที่เคยไหลออกในช่วงครึ่งปีแรก
  • นักวิเคราะห์จาก บล.กสิกรไทย ชี้ว่าในกลุ่ม 4 หุ้นใหญ่ มีเพียง GULF ที่พื้นฐานยังแข็งแกร่ง ขณะที่อีก 3 ตัวมีอัปไซด์จำกัด ซึ่งอาจทำให้ตลาดปรับฐานลงได้
  • อย่างไรก็ตาม หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง อาจกระตุ้นให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น ซึ่งมีโอกาสผลักดันให้ดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึงระดับ 1,330 จุดได้

“ตลาดหุ้นไทย” นับตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของเดือนส.ค. 2568 ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทยกลับมา “โดดเด่น” อีกครั้ง สะท้อนดัชนี SET INDEX ปรับตัวขึ้นมาล่าสุดทำ “จุดสูงสุด” (High) ของวานนี้ (15 ก.ย. 2568) กลับมาแตะ 1,300.60 จุดได้อีกครั้ง ก่อนดัชนีฯ จะเคลื่อนไหวมาปิดตลาดที่ 1,299.78 จุด เพิ่มขึ้น 0.48% ดังนั้น การพุ่งขึ้นของดัชนีหุ้นไทย สะท้อนภาพการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยหนึ่งในนั้น คงต้องยกให้แรงหนุนสำคัญจาก “หุ้นขนาดใหญ่” ซึ่งถูกยกให้เป็น “4 หุ้นเทพ” ของตลาดหุ้นไทย

จับสัญญาณ ‘หุ้นขนาดใหญ่’ เคลื่อนทัพรับแรงหนุน ‘ฟันด์โฟลว์’

ประกอบด้วย บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA และ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่ช่วยนำพาหุ้นไทยทะยานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมทั้งกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) และความเชื่อมั่นที่ทยอยกลับมา 

“สรพล วีระเมธีกุล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ดัชนีหุ้นไทยได้มีการปรับตัวขึ้นอย่าง “โดดเด่น” โดยได้รับแรงหนุนสำคัญจากหุ้นขนาดใหญ่ มีหุ้น 4 ตัวหลัก ได้แก่ หุ้น THAI , หุ้น AOT , หุ้น DELTA

ทั้งนี้ ในบรรดาหุ้น 4 ตัว มีเพียง GULF เท่านั้นที่ยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพในการเติบโตต่อไปได้ ในทางกลับกัน หุ้น DELTA, AOT และ THAI เริื่มมีอัปไซด์เต็มแล้ว อาจส่งผลให้ตลาดโดยรวมมีแนวโน้มเคลื่อนไหวแบบ “ไซด์เวย์ ดาวน์”  (Sideway Down) หรือ ปรับฐานลง เนื่องจากหุ้นกลุ่มที่ Outperform ในช่วงที่ผ่านมา 3 ใน 4 ตัว (ไม่นับรวม GULF) มีอัปไซด์ที่จำกัด

อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีที่สถานการณ์เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ประเด็นดังกล่าวอาจจะทำให้ “เงินทุนไหล” เข้าสู่ตลาดเอเชียเหนือ และ Emerging Market ซึ่งจะผลักดันให้หุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปถึงระดับ 1,330 จุด ได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงปลายปี 2565 ถึงต้นปี 2566 ที่ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยถึง 70,000 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังไม่ดีขึ้น แต่เป็นผลมาจากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าและสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยที่ลดลง

“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วงครึ่งหลัง โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากเผชิญความผันผวนและแรงกดดันในช่วงครึ่งปีแรก โดยตลาดมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น

“สถานการณ์กลับมาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยนับตั้งแต่ 1 ก.ค.- 20 ส.ค.2568 ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นมาโดดเด่น ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นและอัตราการเติบโตนี้ถือว่าโดดเด่นอย่างมาก”

สำหรับ 4 หุ้นยักษ์ใหญ่ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ เป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาจาก 4 หุ้นใหญ่ นอกจากนี้ Fund Flow ที่เคยไหลออกในช่วงครึ่งปีแรกก็เริ่มมีสัญญาณกลับเข้ามาซื้อสุทธิในช่วงครึ่งปีหลังบ้าง แม้สัญญาณยังไม่มากเท่าไหร่ 

อย่างไรก็ตาม มองหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องแบบ Sideway up “แตกต่าง” จากในช่วงครึ่งปีแรก ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการในครึ่งปีแรกทำได้ดีมากประมาณ 600,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติที่ประมาณ 500,000 ล้านบาท โดยเฉพาะไตรมาส 2 ปี 2568 ที่ทำกำไรได้ถึง 300,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นกำไรที่สูงเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ 

ดังนั้น “กำไร” ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ตลาดหุ้นมีราคาถูกลงตามอัตราส่วนทางการเงิน และสงครามการค้าได้ผ่อนคลายลงมาก รวมทั้งงบประมาณแผ่นดินที่ผ่านการอนุมัติแล้ว ทำให้เชื่อว่านโยบายการคลังจะสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในเดือนส.ค. 2568 ที่ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นอย่าง “โดดเด่น” นั่นแสดงถึงความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนทุกกลุ่ม