ตลท.เปิดบ้านแห่งโอกาส ‘ลบคำสาป 3รุ่น’ ธุรกิจครอบครัวไทย

”ธุรกิจครอบครัวไทย” กำลังอยู่จุดเปลี่ยนสำคัญ ในยุคความเปลี่ยนแปลงทาง “เศรษฐกิจ” และ “สังคม” เร่งตัวขึ้นไม่หยุดยั้ง
KEY
POINTS
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตลท.) เปิดบทบาทเป็น "บ้านแห่งโอกาส" เพื่อสนับสนุนธุรกิจครอบครัวไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน และช่วยแก้ปัญหา "คำสาป 3 รุ่น" ผ่านการให้ความรู้และส่งเสริมการเข้าจดทะเบียน
- ชี้ให้เห็นว่าปัญหาหลักของธุรกิจครอบครัวคือ "ความขัดแย้งภายใน" ซึ่งมักเกิดจากการขาดโครงสร้างองค์กรที่ดี การสื่อสาร และแผนการสืบทอดกิจการที่ชัดเจน
- นำเสนอแนวทาง "6C" เป็นสูตรสำเร็จเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัว ประกอบด้วย โครงสร้าง (Corporate Structure), ผลตอบแทน (Compensation), การสื่อสาร (Communication), การระงับข้อพิพาท (Conflict Resolution), ความเอื้ออาทร (Caring) และการปรับตัว (Change)
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้เปิดเวทีสำคัญเพื่อสนับสนุน “ธุรกิจครอบครัว” ซึ่งเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย ให้สามารถปรับตัวและเติบโตอย่างยั่งยืน ท่ามกลางความท้าทายที่ซับซ้อน โดยเฉพาะเรื่อง “ความขัดแย้งภายในครอบครัว” ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งต่อธุรกิจจากรุ่นสู่รุ่น
ในงานสัมมนา “The 3rd SET Annual Conference on Family Business” ภายใต้ธีม Transforming Family Business ซึ่งจะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 26 ก.ย. 2568 ณ อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯผู้นำทางความคิดจากหลากหลายวงการจะร่วมกันถอดรหัสการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจครอบครัว พร้อมเปิดมุมมองใหม่ในการสร้างธุรกิจครอบครัวที่แข็งแกร่งและมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น
“ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “กรุงเทพธุรกิจ” เน้นย้ำถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็น“บ้านแห่งโอกาส” สำหรับธุรกิจครอบครัวไทย หรือ Family Business กำลังให้ความสนใจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น เพื่อก้าวสู่อนาคตเติบโตอย่างมั่งคงและยั่งยืน
ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ให้การสนับสนุนเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ปัจจุบันกว่า 76% มาจากธุรกิจครอบครัว และเชื่อว่าธุรกิจที่ดีและยั่งยืนหลายแห่งมีจุดกำเนิดจากธุรกิจครอบครัว
ดังนั้น จึงมีการจัดการอบรมให้ความรู้มาอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้มีธรรมาภิบาล เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถระดมทุนและขยายตัวได้ ซึ่งแน่นอนว่า เป้าหมายสำคัญประการหนึ่งคือ การช่วย “ลบคำสาป” ที่ว่าธุรกิจครอบครัวมักจะจบสิ้นภายใน 3 รุ่น !!
ความท้าทายกับความขัดแย้งใน“ครอบครัว”
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีโอกาสเติบโต แต่ที่ผ่านมาก็มีหลายกรณีที่ธุรกิจครอบครัวประสบปัญหาความขัดแย้งหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์” ชี้ว่า ความขัดแย้งในครอบครัว “เป็นเรื่องปกติ” ของทุกครอบครัว แต่จะกลายเป็น “ปัญหา” เมื่อไม่มีการจัดโครงสร้างที่ดีและเหมาะสม ไม่มีการสื่อสารกัน หรือไม่มีกระบวนการระงับข้อพิพาท ในอดีตมีหลายตัวอย่างหรืออย่างที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆนี้ คือ
“โรงแรมดุสิตธานี” ที่เกิดความขัดแย้งของสมาชิกภายในครอบครัว ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT สาเหตุหลักมาจากโครงสร้างการถือหุ้นที่บริษัทครอบครัว (ชนัตถ์และลูก) ซึ่งเป็น Holding Company ถือหุ้นใหญ่ และสมาชิกครอบครัว 3 คน รวมถึงคุณแม่ ถือหุ้นเท่ากันโดยไม่มีการทำพินัยกรรม ซึ่งเมื่อ “หุ้นเท่ากัน” และสมาชิกในครอบครัวไม่สามารถตกลงกันได้ นั่นก็ย่อมเกิดปัญหาขึ้น...
นอกจากนี้ ในการทำธุรกิจยังขาดการสื่อสารที่ชัดเจน เช่น กรณีที่บริษัทไม่จ่ายเงินปันผลในช่วงวิกฤติ ไม่มีการอธิบายถึงสาเหตุว่าเพราะอะไร และจะจ่ายได้เมื่อไหร่ และการเกี่ยวข้องของทายาทอีก 2-3 คน ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำธุรกิจหรือไม่ และแนวทางแก้ไขเป็นอย่างไร
อีกตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “ตลาดยิ่งเจริญ” ที่มีคดีฟ้องร้องกันมานานถึง 14 ปี กว่า 40 คดี และอิทธิพลในวัฒนธรรมสมัยนิยม ถึงปัญหาความขัดแย้งในธุรกิจครอบครัว ยังถูกนำเสนอในสื่อต่างๆ เช่น ละครเรื่อง “เลือดข้นคนจาง” และภาพยนตร์ หรือละครอีกหลายเรื่องที่สะท้อนถึงเรื่องจริงดังกล่าว
นอกจากนี้ กรณีศึกษาในต่างประเทศ ก็มีตัวอย่าง คือ “กลุ่มโรงแรมไฮแอท” (ต่างประเทศ) ที่พี่น้องทำธุรกิจร่วมกันแต่ “พี่คนโต” บริหารงานโดยขาดความโปร่งใส และยังมีความพยายามลดบทบาทของทายาทคนอื่นๆ ทำให้ถูกกองทุนเข้า “ซื้อกิจการ” (เทคโอเวอร์) ในที่สุด
ความสำคัญธุรกิจ SME -ธรรมนูญครอบครัว
อย่างไรก็ดี ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะใน “ธุรกิจขนาดใหญ่” เท่านั้น แต่ยังสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ “ธุรกิจขนาดเล็ก” และ “ธุรกิจขนาดกลาง” (SME) โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ธุรกิจ SME จำนวนมากต้องปิดตัวลง เพราะไม่มีการจัดโครงสร้างที่ดี ขาดการวางแผนสืบทอด และลูกหลานไม่สนใจเข้ามา บริหารงาน เนื่องจากปัญหาเรื่องผลตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม
ดังนั้น แม้แต่ธุรกิจ SME ก็ยิ่งต้องให้ความสำคัญกับ การวางแผนโครงสร้าง, การสืบทอดกิจการ, และการให้ผลตอบแทนที่เป็นธรรม เพื่อดึงดูดลูกหลานให้เข้ามาทำงาน และช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตได้ ธรรมนูญครอบครัวที่ดีต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมในการร่างของสมาชิกทุกคน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเป็นที่ยอมรับ
“ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์” ชี้ทิ้งท้ายไว้ว่า “Central Group” ก็เคยเป็นธุรกิจขนาดเล็กมาก่อน และได้วางรากฐานการบริหารจัดการครอบครัวที่ดี รวมถึงธรรมนูญครอบครัวที่แข็งแกร่ง จนเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดีที่สุดในเอเชียจริงๆแล้ว
สำหรับ ธรรมนูญครอบครัวที่ดีนั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือและความเห็นพ้องของสมาชิกในครอบครัว สมาชิกทุกคนควรมีส่วนร่วมในการร่าง เพื่อให้สะท้อนความต้องการและแนวปฏิบัติของครอบครัวอย่างแท้จริง นอกจากเอกสารทางกฎหมายแล้ว ความรักความเมตตาในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่า
เปิดสูตรสำเร็จ 6C สู่ความยั่งยืน ‘ธุรกิจครอบครัว’
จากประสบการณ์การศึกษาและวิจัยกว่า 20 ปี “ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ นำเสนอ“สูตรสำเร็จ 6C” เพื่อช่วยให้ธุรกิจครอบครัวไทยสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน โดย 6C ประกอบด้วย
1. Corporate Structure (โครงสร้าง) : การจัดโครงสร้างที่ดี มี Holding Company และการแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นที่ชัดเจน
2. Compensation (ผลตอบแทน/ผลประโยชน์) : การจัดสรรผลตอบแทนที่เหมาะสม โดยเน้นย้ำว่า “ความเท่าเทียมกันไม่ใช่ความยุติธรรม” (Fair do not mean equal)
3. Communication (การสื่อสาร) : การพูดคุยกันอย่างเปิดอกและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรมีคนกลางหรือกรรมการอิสระเข้ามาช่วยประสาน
4. Conflict Resolution (กระบวนการระงับข้อพิพาท) : ควรมีกลไกในการซื้อขายหุ้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง มีการไกล่เกลี่ย รวมถึงการจัดทำธรรมนูญครอบครัว
5. Caring & Compassion (ความเอื้ออาทรและความรัก) : ความสำเร็จของธุรกิจครอบครัวหลายแห่งมาจากความเสียสละของผู้นำและสมาชิกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมและสายสัมพันธ์ในครอบครัวมากกว่าเรื่องเงิน
6. Change (การเปลี่ยนแปลง) : ธุรกิจครอบครัวต้องปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงของโลกและเทคโนโลยี
กุญแจสำคัญอยู่รอดเกิน 100 ปี!
แม้ว่า การปฏิบัติตาม 6C “จะไม่การันตีความสำเร็จ 100% แต่จะ” เพิ่มโอกาส “ให้ธุรกิจครอบครัว” อยู่รอดได้ “อย่างยั่งยืน”
และ “การเสียสละ” ของผู้เป็นผู้นำอย่างที่เห็นในกรณีของ “เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์” ที่แม้จะทำธุรกิจ แต่ก็แบ่งให้พี่น้องเท่ากันนั่นคือ
“กุญแจสำคัญ”
พร้อมกับเน้นย้ำว่า “การสื่อสาร” ยังเป็นอีกกุญแจสำคัญเช่นกัน หากเกิดความขัดแย้ง จึงจำเป็นต้องมี “คนกลาง” เข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย และมองว่า “กรรมการอิสระ” ของบริษัทจดทะเบียน สามารถมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงสมาชิกในครอบครัว เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จมี “โอกาสอยู่รอดได้เกิน100ปี” ไม่แพ้ญี่ปุ่น







