เปิดตัว Taskforce 4 หน่วยงานตลาดทุน ร่วม “ร่างมาตรการสร้างเสน่ห์หุ้นไทย”

ตลาดทุนไทยขับเคลื่อนด้วยภาพเศรษฐกิจของประเทศที่มีผลต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนไทย ช่วงที่ผ่านมานอกจากเผชิญปัญหาเศรษฐกิจกระทบเชิงโครงสร้างแล้ว ยังมีปัญหาผู้บริหาร -ผู้ถือหุ้น และเจ้าของเข้ามาบั่นทอนความเชื่อมั่นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย
การฟื้นฟูและพลักดันความเข้มแข็งให้กับตลาดทุนไทยจึงเดินหน้าและสร้างความต่อเนื่องผนึกกำลังเปิด “ร่างมาตรการสร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย” สร้างความเชื่อมั่น เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันสู่ระดับสากล จากสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในอาเซียนยังมีความโดดเด่นในหลายมิติ อาทิ ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงเป็นอันดับต้น โดยมีหุ้นไทยอยู่ในดัชนีด้านความยั่งยืนสากลเป็นอันดับต้นเช่นกัน
อีกทั้ง บริษัทจดทะเบียนของไทยมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงที่สุด อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนในการลงทุนเฉลี่ยย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาคเดียวกัน โดยปัจจัยท้าทายมีตั้งแต่การปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยในดัชนี MSCI การขาดหุ้นอุตสาหกรรมอนาคต การชะลอ การเข้าระดมทุนหุ้น IPO ขณะที่ผู้ลงทุนรายย่อยที่มีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงเมื่อเทียบกับอาเซียนมีแนวโน้มลดลง
จากความท้าทายและแรงกดดันทั้งจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศที่เปราะบางและผันผวน ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัว บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้ลงทุน ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพในการเติบโตของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นจากทั้งในและนอกภูมิภาคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่เร่งหามาตรการสร้างเสน่ห์เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน อาจทำให้ “ตลาดหุ้นไทยถูกลดทอนบทบาทและความสามารถ” ในการเสริมสร้าง
การจัดตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณา มาตรการปฏิรูปตลาดหุ้นไทย (Taskforce) จากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง -สำนักงาน ก.ล.ต. -ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ที่ริเริ่มจากสำนักงาน ก.ล.ต. มีจุดมุ่งหมายในการระดมความเห็น วิเคราะห์ปัญหา และหาแนวทางในการฟื้นฟู/ส่งเสริมความสามารถของตลาดหุ้นไทยให้สามารถแข่งขันพร้อมกับมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความท้าทาย เพื่อที่จะยังคงความสามารถในการเป็นกลไกที่สำคัญในการสร้างเสริมเศรษฐกิจไทย
จากการประเมินปัญหาและผลกระทบโดยคณะทำงาน (Taskforce) นำมาสู่ข้อสรุปในการเสนอแนะมาตรการที่สร้างเสน่ห์ตลาดทุนไทย โดยจะ “ออกเป็นแพ็กเกจ” เพื่อ “ดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ลงทุน” สร้างสมดุลทั้งในส่วนของผู้ลงทุนรายใหญ่-รายย่อย และผู้ลงทุนต่างชาติ โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
1.Quality Demand เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนมีวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวผ่านบัญชีการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Investment Account)และเพิ่มบทบาทผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับตลาดหุ้น เป็นต้น
2.Attractive Supply เช่น การดึงดูดกิจการที่มีศักยภาพและคุณภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศและเข้าสู่ตลาดทุนไทยผ่านช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย การปรับขั้นตอนการออกและเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)ให้กระชับ เน้น “การเปิดเผยข้อมูล” ลดขั้นตอนและลดเอกสารซับซ้อนภายใต้การคุ้มครองผู้ลงทุนที่เหมาะสม อีกทั้ง ส่งเสริมการจัดทาแผนเพื่อยกระดับมูลค่าของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พร้อมให้ บจ. ต้องมีการเปิดเผยแผนและผลการดาเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมและสื่อสารกับผู้ถือหุ้นได้ มี Roadmapที่ชัดเจนในการเปิดเผยข้อมูล ESGตามมาตรฐาน ISSBเพื่อดึงดูดผู้ลงทุนที่คานึงถึงความรับผิดชอบด้าน ESGในระดับสากล เป็นต้น
3.Trusted Market เช่น การสร้างความเข้มแข็ง corporategovernanceของ บจ. การยกระดับการกากับ gatekeepersเพื่อป้องปรามการกระทาที่ไม่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีเพิ่มช่องทางเข้าถึงข้อมูลทางการเงินของบริษัทขนาดกลาง-ย่อม-เล็ก เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้ลงทุน เป็นต้น 4.Supportive Ecosystem เช่น การเสริมสร้างระบบนิเวศน์ให้เกิดการนาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงการลงทุนของผู้ลงทุนรายย่อย (Inclusion)รวมทั้งการให้ผู้ลงทุนต่างประเทศสามารถใช้สิทธิ e-proxy ได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น
การขับเคลื่อนมาตรการตลาดทุนในระยะเริ่มต้นจะเน้นการสร้างเสน่ห์ให้ตลาดหุ้นเป็นลำดับแรก ผ่านการดำเนินการของ Taskforce เพื่อให้ได้รับข้อเสนอและแรงสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อย่างไรก็ดี สำนักงาน ก.ล.ต. จะเดินหน้าพัฒนาตลาดทุนในส่วนอื่น ๆ ทั้งตลาดตราสารหนี้ หน่วยลงทุน ตลอดจนการเปลี่ยนผ่านตลาดทุนสู่ตลาดทุนดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและส่งเสริมการเข้าถึงการลงทุนของประชาชน (tokenization) โดยจะมีการจัดตั้ง Taskforce ชุดอื่นเพิ่มเติมอีกในระยะต่อไป







