โบรกยก‘กลุ่มนิคมฯ-โรงไฟฟ้า’เด่น จ่อรับดีมานด์ย้ายฐานหนีจีน

ท่ามกลางกระแสแบ่งขั้ว “เศรษฐกิจ-เทคโนโลยี” ระหว่างมหาอำนาจโลกอย่าง “สหรัฐฯ-จีน” แนวโน้มโยกย้ายฐานการผลิตของ “บริษัทต่างชาติ” ออกจากจีนยังคงดำเนินต่อเนื่อง
โดย “ประเทศไทย” กำลังถูกจับตามองในฐานะจุดหมายใหม่ที่มี “ศักยภาพสูง”ทั้งในด้านทำเล กลยุทธ์ และโครงสร้างพื้นฐาน ในการรองรับ “อุตสาหกรรมยุคใหม่” โดยเฉพาะกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและโรงไฟฟ้า ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าอาจเป็นผู้รับประโยชน์หลักจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
“รัฐศักดิ์ พิริยะอนนท์” ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า เรามองกระแสการโยกย้ายโรงงานฐานการผลิตของต่างชาติออกจากจีนมีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังชาติมหาอำนาจโลก เช่นจีนและสหรัฐฯแบ่งขั้วชัดเจน กระตุ้นให้เกิดการแข่งขันทั้งในเชิงเศรษฐกิจและเทคโนโลยี จึงมีแนวโน้มว่าสหรัฐฯ จะมีความพยายามลดการพึ่งพาการผลิตสินค้าจากจีนและปิดกั้นการถ่ายทอดหรือการส่งผ่านเทคโนโลยีให้กับจีน
ดังนั้นเราเชื่อว่าน่าจะเห็นโรงงานต่างชาติมองหาทำเลเพื่อย้ายฐานการผลิตและกระจายความเสี่ยงออกจากจีนซึ่งคาดว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้อานิสงค์บวกจากแนวโน้มนี้
สำหรับกลุ่มหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้เช่นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA และกลุ่มโรงไฟฟ้า ได้แก่ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด(มหาชน) หรือ BGRIM และ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC
“กิจพัฒน วงษ์เมตตา” นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า สำหรับการลงทุนจากสหรัฐฯ มาไทยหลักๆ เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ คอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และล่าสุด คือ เดต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งมองว่า ทิศทางน่าจะเข้ามาอีกอย่างต่อเนื่อง หนุนยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมทั้ง WHA และ AMATA แต่ WHA จะมีสัดส่วนธุรกิจที่เชื่อมกับ อุตสาหกรรมใหม่มากกว่า
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้น AMATA และ WHA ปรับขึ้น ส่วนหนึ่งรับจากข่าว BOI applications (ยอดขอรับสิทธิ์ส่งเสริมการลงทุน ) ในช่วงครึ่งแรกปีนี้ที่แข็งแกร่ง แต่จากการศึกษาย้อนหลัง เรามองว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่า ยอด presalesในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งตามที่ตลาดคาด
เนื่องจาก การพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) หลายกิกะวัตต์ใน EEC อีก 3 ปีข้างหน้าก่อให้เกิดความกังวลด้านโครงข่ายไฟฟ้า และน้ำ ขณะเดียวกัน BOI applications ที่พุ่งแรงช่วงครึ่งแรกปีนี้เป็นการเร่งยื่น จากนักลงทุน Data Center ที่กังวล BOI จะเข้มงวดขึ้นเพราะข้อจำกัดด้านสาธารณูปโภค และนอกเหนือจากอุตสาหกรรมดิจิทัลแล้ว อุตสาหกรรมอื่นๆ เริ่มชะลอ และสัดส่วน FDI นอกนิคมอุตสาหกรรมสูงขึ้น สะท้อนว่ายอดขายที่ดินนิคมอุตฯ น่าจะทรงตัวมากกว่าขยายตัว
“ข้อมูลในอดีตบ่งชี้ว่า BOI applications มักเป็นตัวชี้ตาม (lagging) ไม่ใช่ตัวชี้นำ (leading) ต่อยอดขายที่ดิน และคาดเซมิคอนดักส์เตอร์ และเทคโนโลยีขั้นสูงจะเป็นแรงขับเคลื่อนใหม่ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป แต่ยังไม่เห็นสัญญาณชัดเจน“
อย่างไรก็ตาม ยังคงระมัดระวังต่อแนวโน้มระยะสั้น และคงคำแนะนำรอขายในช่วงที่ราคาปรับตัวแข็งแกร่งรอการชัดเจนของดีมานด์รอบใหม่หลังยุค Data Center
“ณัฐพล คำถาเครือ” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับการลงทุนกลุ่มหุ้นนิคมอุตฯ มองว่า นักลงทุน ยังต้องรอติดตามความชัดเจนกรณีศาลฏีกาจะถอดถอนนโยบายภาษีทรัมป์หรือไม่ หากถอดถอน ทำให้นโยบายภาษีทรัมป์ไม่สามารถทำได้ มองว่า การลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีทรัมป์ที่จะเก็บเกี่ยวกับการสวมสิทธิ์สินค้า ทำให้การโยกย้ายฐานการผลิตออกจีนไปสู่ตลาดที่มีต้นทุนถูกลงมาโดยเฉพาะเข้ามาในภูมิภาคอาเซียนอย่างไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นได้
“ตอนนี้อุตสาหกรรมต่างๆ ยังมีความกังวลภาษีทรัมป์เกี่ยวกับการสวมสิทธิ์ หากเป็นธุรกิจสหรัฐที่อยู่ในจีนคงย้ายกลับไปสหรัฐก่อน ส่วนจะย้ายมาไทยเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้นยังไม่ชัดเจน ราคาหุ้นกลุ่มนิคมฯ ปรับขึ้นมาจากก่อนหน้าพักตัวลงยังรอความชัดเจนประเด็นดังกล่าว”







