ศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เขย่าตลาดทุนโลก

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เกี่ยวกับอำนาจการขึ้นภาษีของประธานาธิบดี ได้สร้างบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนทางกฎหมายและการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้า การลงทุน และการวางนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลก

KEY

POINTS

  • คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ เกี่ยวกับอำนาจการขึ้นภาษีของประธานาธิบดี ได้สร้างบรรยากาศแห่งความไม่แน่นอนทางกฎหมายและการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้า การลงทุน และการวางนโยบายเศรษฐกิจทั่วโลก
  • ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากคำพิพากษานี้ นำไปสู่ความผันผวนในตลาดการเงิน โดยมีความสัมพันธ์เชิงลบกับผลตอบแทนของสินทรัพย์ และทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจมหภาคชะลอตัว
  • เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศมหาอำนาจสามารถซ้อนทับกับความไม่แน่นอนในภูมิภาคอื่น ๆ รวมถึงไทย ทำให้การคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจมีความยากลำบากยิ่งขึ้น
  • บทความชี้ว่าท่ามกลางความผันผวนที่เกิดจากคำพิพากษา การกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์และภูมิภาคที่หลากหลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงและสามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นบวกได้

คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐฯในกรณีการใช้อำนาจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมาย การเมือง และเศรษฐกิจในระดับโลก ศาลมีความเห็นว่าอำนาจดังกล่าวเป็นของรัฐสภามากกว่าประธานาธิบดีโดยตรง แต่ได้อนุญาตให้มาตรการภาษีที่บังคับใช้กับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น จีน แคนาดา และเม็กซิโก ยังคงมีผลชั่วคราวจนถึงเดือนตุลาคม 2025 ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุด

สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่เพียงคำตอบสุดท้ายว่าศาลสูงสุดจะตัดสินไปในทิศทางใด หากแต่คือบรรยากาศแห่ง “ความไม่แน่นอน” ที่ก่อตัวขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว ความไม่แน่นอนทางกฎหมายและการเมืองเช่นนี้ เป็นปัจจัยที่สร้างแรงกดดันและความท้าทายต่อการค้าระหว่างประเทศ การกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ และการตัดสินใจลงทุนทั่วโลก รวมไปถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของภาคเอกชนที่ทำธุรกิจโดยทั่วไปด้วยเช่นกัน

ความไม่แน่นอนลักษณะนี้มักแปรเปลี่ยนออกมาในรูปของความผันผวนในตลาดการเงิน จากงานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์การเงินพบว่า ความไม่แน่นอนทางนโยบายเศรษฐกิจและการเมืองมีความสัมพันธ์เชิงลบกับผลตอบแทนของสินทรัพย์ (Negative correlation) นักลงทุนจึงต้องเผชิญกับราคาที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้น บริษัทเอกชนเองก็มีพฤติกรรมระมัดระวังมากขึ้น โดยลดการก่อหนี้ ชะลอการลงทุนใหม่ และถือครองเงินสดมากขึ้นเพื่อรักษาสภาพคล่อง สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนสะท้อนออกมาในรูปของการชะลอตัวของเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะในประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจเปราะบางอยู่แล้ว 

ความไม่แน่นอนไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเวทีโลกเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนชัดเจนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงประเทศไทยที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไม่นานมานี้ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ “นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง” เหตุการณ์ดังกล่าวแม้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ก็สร้างบรรยากาศความไม่แน่นอนในหมู่นักลงทุนและผู้ประกอบการอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยยังต้องเผชิญกับโจทย์ท้าทายด้านเศรษฐกิจ ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัว การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ รวมถึงแรงกดดันจากค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ย ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศจึงกลายเป็นอีกตัวแปรที่ซ้อนทับความไม่แน่นอนในระดับโลก และเพิ่มความยากลำบากให้กับการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในระยะสั้น

แต่อย่างไรก็ดีความไม่แน่นอนไม่ได้มีเพียงมิติด้านลบแต่อย่างเดียว หากมองจากมุมของนักลงทุน การวางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความผันผวนสามารถเปลี่ยนความเสี่ยงให้กลายเป็นโอกาสได้ การกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์หลายประเภทและหลายภูมิภาค ช่วยลดผลกระทบจากเหตุการณ์เฉพาะจุด ขณะที่การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (Dollar-Cost Averaging) ทำให้นักลงทุนได้เฉลี่ยต้นทุนในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในจังหวะราคาสูงสุด และสร้างผลตอบแทนสะสมในระยะยาว

ข้อมูลผลตอบแทนในปีนี้ (นับจากต้นปีถึงสิ้นเดือนสิงหาคม) ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวได้อย่างชัดเจน หากผู้ลงทุนกังวลถึงประเด็นความผันผวนของตลาดไม่ว่าจะเกิดจากเหตุการณ์ใดก็ตามและถือเงินสดไว้ในกองทุนตลาดเงิน เช่น K-CASH จะให้ผลตอบแทนเพียง 1.02% ขณะที่นักลงทุนที่ไม่เปิดใจพิจารณาการลงทุนต่างประเทศ สนใจแต่ลงทุนในหุ้นไทยเพียงอย่างเดียวก็จะให้ผลตอบแทนที่ติดลบถึงราว 8.5% ตรงกันข้าม กองทุนผสมที่กระจายการลงทุนทั่วโลกทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เช่น K-WPSPEEDUP กลับสร้างผลตอบแทนได้ถึง 4.58% ภายในระยะเวลาเดียวกัน ตัวอย่างนี้สะท้อนชัดเจนว่ากลยุทธ์การกระจายการลงทุนมีพลังในการลดผลกระทบของความไม่แน่นอนได้จริง

ในท้ายที่สุด เหตุการณ์คำพิพากษาของศาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษีอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยกรณีของความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจโลกยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ความไม่แน่นอนจะยังคงอยู่ และเป็นเงื่อนไขถาวรที่ผู้ลงทุนจำเป็นต้องปรับตัวอยู่เสมอ การยอมรับและการพัฒนากลยุทธ์เพื่ออยู่กับความไม่แน่นอน จึงเป็นหนทางสำคัญที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่งสำหรับการลงทุนในระยะยาว

หมายเหตุ : 

ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผลตอบแทนขึ้นกับภาวะตลาด อัตราแลกเปลี่ยน และค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจริง

กองทุนเปิดเค บริหารเงิน K-CASH 

· ระดับความเสี่ยง : 1 (ความเสี่ยงต่ำ)

· ลงทุนตราสารหนี้ภาครัฐไทยอายุต่ำกว่า 397 วัน

· ไม่มีความเสี่ยงต่างประเทศ (FX) 

· Duration เฉลี่ยไม่เกิน 92 วัน

กองทุนเปิดเค เวลธ์พลัส สปีดอัพ K-WPSPEEDUP

· ระดับความเสี่ยง : 5 (ความเสี่ยงปานกลางค่อนข้างสูง)

· กองทุนผสมแบบ Fund of Funds ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุน ตราสารหนี้ ทรัพย์สินทางเลือก

· ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจผู้จัดการ