โบรกคาด ‘กลุ่มรับเหมา’ ฟื้น การเมืองนิ่งรัฐอัดเมกะโปรเจกต์ 3 แสนล้าน-ธีมดาต้าเซนเตอร์

“กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง” กำลังกลับมาเป็น “ดาวเด่น” ในครึ่งหลังปี 68 หลังปัจจัยทางการเมืองเริ่มนิ่ง คาดรัฐบาลใหม่เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจ “บล.กสิกรไทย” คาดรัฐอัดโปรเจกต์ “โครงสร้างพื้นฐาน” มูลค่ากว่า 3 แสนล้าน “บล.บัวหลวง” ยกงานเอกชนจาก “ดาต้าเซ็นเตอร์” เสริมทัพ “บล.หยวนต้า” มอง “กำไร” ครึ่งปีหลังกลุ่มรับเหมาก่อสร้างแนวโน้มเติบโตดีขึ้น
KEY
POINTS
- โบรกเกอร์คาดการณ์ว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะกลับมาเป็นดาวเด่นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยมีแนวโน้มกำไรเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยหนุนรอบด้าน
- ปัจจัยสำคัญมาจากการเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพ ทำให้คาดว่ารัฐบาลใหม่จะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการผลักดันเมกะโปรเจกต์โครงสร้างพื้นฐานมูลค่ารวมเกือบ 3 แสนล้านบาท
- โครงการภาครัฐที่คาดว่าจะออกมา ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่ (มูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท) และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน เฟส 2 (มูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท)
- นอกจากงานภาครัฐแล้ว กลุ่มรับเหมายังได้รับแรงเสริมจากงานภาคเอกชน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้าง "ดาต้าเซ็นเตอร์" (Data Center) ซึ่งเป็นธีมการลงทุนใหม่ที่โดดเด่นและมีแนวโน้มเติบโตสูง
ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 “กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง” กำลังกลับมาเป็นดาวเด่นอีกครั้ง หลังปัจจัยทางการเมืองเริ่มนิ่ง และรัฐบาลใหม่เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจด้วยเมกะโปรเจกต์ “โครงสร้างพื้นฐาน” วงเงินกว่า 3 แสนล้านบาท ส่งผลให้บรรยากาศลงทุนในหุ้นรับเหมา-ก่อสร้างคาดกลับมา “คึกคัก” โดยเฉพาะจากธีมธุรกิจเมกะเทรนด์ใหม่ อย่าง “ศูนย์ข้อมูล” (Data Center) จะเข้ามาช่วยหนุนกลุ่มดังกล่าวได้
นายศรัณย์ ชินวรรณโณ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า กลุ่มรับเหมา-ก่อสร้างมีแนวโน้มสดใสขึ้นในช่วงครึ่งหลัง ภายหลังรัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศ และมีแนวคิดเร่งรัดการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะทยอยออกมาจำนวนมาก มูลค่ารวมเกือบ 300,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการรถไฟทางคู่ประมาณ 100,000 ล้านบาท และโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน เฟส 2 มูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท
ขณะที่ โครงการภาครัฐที่น่าจับตารถไฟทางคู่ มี 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ชุมพร-สุราษฎร์ธานี มูลค่า 24,000 ล้านบาท สุราษฎร์ธานี-สงขลา มูลค่า 67,000 ล้านบาท และหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ มูลค่า 8,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ โครงการ Double Deck ของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM มูลค่าก่อสร้างประมาณ 35,000 ล้านบาท โครงการนี้อาจถูกนำกลับมาพิจารณาอีกครั้งในเร็วๆ นี้ ส่วนรถไฟความเร็วสูงเชื่อมจีน เฟส 2 มูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท โครงการนี้เป็นส่วนต่อขยายจากเฟส 1 ที่สร้างไปแล้ว และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติไปเมื่อเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการเปิดประมูลในเฟส 2 มีแนวคิดที่จะรวมสัญญาให้ใหญ่ขึ้น เพื่อลดปัญหาที่เคยเกิดในเฟส 1
นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ภาพรวมหุ้นกลุ่มรับเหมาทิศทางในช่วงที่เหลือของปีนี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งมีปัจจัยหนุนจากทั้งงานภาครัฐและภาคเอกชนที่กลับมาคึกคัก รวมถึงผลประกอบการที่ดีขึ้น ขณะที่โมเมนตัมของกำไรในปีนี้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากอัตรากำไรได้กลับมาสู่ระดับปกติแล้ว หลังจากมีการปรับโครงสร้างหรือค่าใช้จ่ายครั้งใหญ่ไปก่อนหน้านี้ ทำให้เรื่องของกำไรจึงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก
นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มรับเหมายังมีโอกาสที่จะปรับมูลค่าขึ้นมา เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา ราคาได้ปรับลดลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลายลง และเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มนิ่งขึ้น นักลงทุนก็เริ่มมีความคาดหวังต่อมาตรการและโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่อาจเคยล่าช้าไปก่อนหน้านี้ ให้กลับมาดำเนินการตามปกติมากขึ้น
และอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มคือ งานจากภาคเอกชน โดยโครงการที่เคยชะลอการลงทุนไปก่อนหน้านี้ เริ่มมีแนวโน้มที่จะกลับมาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการ Data Center ซึ่งเป็นหนึ่งในธีมที่โดดเด่นที่สุดในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ตัวเลขการขอรับส่งเสริมการลงทุน BOI ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน ทำให้งานจากภาคเอกชนจะเป็นงานรับเหมาขนาดใหญ่ใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริม นอกเหนือจากงานภาครัฐที่อย่างน้อยก็ไม่ลดลง
ดังนั้น แนะนำการลงทุนในเชิงตั้งรับซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวในช่วงสั้นๆ บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON ถือเป็นหุ้นที่โดดเด่นสุดในธีม Data Center โดยแนะนำให้ตั้งรับบริเวณราคาประมาณ 7.50-8 บาท หากมีแรงขายทำกำไรเข้ามา ส่วน CK แนะนำให้ตั้งรับที่ราคาลึกกว่าเล็กน้อยประมาณ 15.50-16.00 บาท
นักวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า กำไรครึ่งปีหลังของกลุ่มรับเหมาก่อสร้างมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รวมถึงดีขึ้นเมื่อเทียบกับผลประกอบการในครึ่งปีแรกของปีนี้ด้วย
โดยหุ้นเด่นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างยังคงเป็น CK ที่แนะนำซื้อ ราคาเหมาะสมที่ 21 บาท และหากรัฐบาลมีความชัดเจนและมีเสถียรภาพมากขึ้น มีการเบิกจ่ายงบประมาณ และมีการเปิดประมูลโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีอย่างน้อย 1-2 โครงการในช่วงปลายปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุน Backlog ของกลุ่มและเป็นบวกต่อ CK
ขณะที่ STECON แนะนำแค่เก็งกำไร ราคาเหมาะสม 8 บาท เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นไปมากแล้วจากเชิงพื้นฐานในช่วงก่อนหน้า ดังนั้นนักลงทุนจึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการเก็งกำไรมากขึ้น







