4 จุดเสี่ยง‘หุ้นเวียดนาม’ ชี้ดัชนี‘พุ่ง‘แรง‘เก็งกำไร’

4 จุดเสี่ยง‘หุ้นเวียดนาม’ ชี้ดัชนี‘พุ่ง‘แรง‘เก็งกำไร’

“ตลาดหุ้นเวียดนาม” กลับมาเป็นจุดสนใจากในปีนี้  “แรงเก็งกำไร” ของนักลงทุนต่างชาติ หวังการปรับสถานะ เป็น Emerging Market โดย FTSE Russell ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายในปีนี้

KEY

POINTS

  • ตลาดหุ้นเวียดนามร้อนแรงจากการเก็งกำไรหลังดัชนีพุ่งขึ้นกว่า 27% แต่ยังคงเผชิญความเสี่ยงหลัก 4 ประการ
  • ความเสี่ยงด้านค่าเงินดองที่อ่อนค่ากระทบนักลงทุนไทยโดยตรง และการกระจุกตัวของตลาดที่พึ่งพาหุ้นกลุ่ม Vingroup สูงกว่า 90%
  • ปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากสงครามการค้าและความไม่แน่นอนด้านภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกซึ่งเป็นเสาหลักเศรษฐกิจ

“ดัชนี VN-Index” พุ่งขึ้นกว่า 27.41% ตั้งแต่ต้นปี และทำสถิติใหม่ที่ 1,693.68 จุดในเดือนส.ค.  

ขณะที่ มูลค่าการซื้อขายรายวันทะลุ 50,000 ล้านบาท กลายเป็นตลาดที่มี “สภาพคล่องสูงสุดในอาเซียน” ไม่เท่านั้นบางวันก็สูงเกือบ“แสนล้านบาท” แล้ว เรียกได้ว่านับตั้งแต่ต้นปีหุ้นเวียดนามกำลัง “ร้อนเป็นไฟ” อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นเวียดนามยังมี “4 ความเสี่ยง”ที่กำลังเผชิญด้วยเช่นกัน 

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ Jitta Wealth มีมุมมองว่า 4 ความเสี่ยงหลักที่ “หุ้นเวียดนาม” กำลังเผชิญคือ 1.ค่าเงินดองอ่อนค่า 3.4% เทียบดอลลาร์ และ 8% เทียบเงินบาท กระทบมูลค่าการลงทุนของนักลงทุนไทยโดยตรง 2.ตลาดหุ้นกระจุกตัว ดัชนีพึ่งพาหุ้นกลุ่ม Vingroup (VIC, VHM, VRE) มากกว่า 90% และเสี่ยงจากราคาหุ้นที่สูงเกินพื้นฐาน

3.ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าสหรัฐ อาจเก็บภาษี “สวมสิทธิ์” สูงถึง 40% ส่งผลต่อส่งออกและการค้า และ 4.ภาษีนำเข้าสหรัฐ 20% กระทบส่งออกที่เป็นเสาหลักเศรษฐกิจเวียดนาม แม้ครึ่งปีแรกส่งออกโต 16% แต่ต้องจับตาผลกระทบระยะยาวต่อ 

ย้อนดูเส้นทางเติบโตที่น่าจับตาด้วยตลอด 25 ปีที่ผ่านมา ดัชนีเวียดนามปรับขึ้น 18 ปี ลดลงเพียง 7 ปี เทียบกับไทยที่มีอัตราขาขึ้นราว 1.5 เท่า หากไม่นับช่วงเริ่มต้น 5 ปีแรก ตลาดเวียดนามปรับขึ้นถึง 75% ช่วงเวลาใน 20 ปีหลัง ซึ่งใกล้เคียงกับตลาดสหรัฐ และในช่วง 10 ปีหลัง (2558-2567) ตลาดติดลบเพียง 2 ปี เฉลี่ยผลตอบแทนปีละ 18.9%

นอกจากนี้ แรงหนุนจากการพัฒนาและเงินทุนต่างชาติ เวียดนามเตรียมยกระดับจากตลาดชายขอบสู่ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดย FTSE มีแนวโน้มอนุมัติเร็วๆ นี้ FDI ปีนี้ทะลุ 2.15 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน และรัฐบาลเร่งปฏิรูปกฎหมาย-ระบบซื้อขายใหม่ (KRX) เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ

“ตราวุทธิ์” กล่าวต่อว่า คาดแนวโน้มตลาดหุ้นเวียดนามปลายปีนี้ หากตลาดหุ้นเวียดนามได้เลื่อนสถานะเป็น “ตลาดหุ้นเกิดใหม่” ถือเป็นก้าวสำคัญของการปรับโครงสร้างของตลาดหุ้นเเวียดนาม เรียก “ความเชื่อมั่น” นักลงทุนเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นแหล่งระดมทุนของภาคธุรกิจเอกชนในการขยายการลงทุนต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตของผลประกอบการในระยะยาว และส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากขึ้นอีก

แน่นอนว่า การเลื่อนชั้นดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโอกาสในการลงทุน และกระตุ้นให้ตลาดหุ้นเวียดนามมีศักยภาพในการเติบโตสูงขึ้น

ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์ลงทุน แบ่งเป็น Core สัดส่วน 80% ในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตร หุ้นคุณค่า หุ้นปันผล หรือ Global ETF เพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว และ Satellite สัดส่วน 20% เสริมด้วยสินทรัพย์เสี่ยงสูง เช่น หุ้นเทคโนโลยี เมกะเทรนด์ หรือหุ้นตลาดเกิดใหม่ อย่าง เวียดนาม (ไม่เกิน 10% ของพอร์ต)

บรรดากูรูฟันธงหุ้นเวียดนามขาขึ้นสดใส

ที่แน่ๆ แนวโน้มตลาดหุ้นเวียดนามกำลังขาขึ้นอย่างชัดเจน นักวิเคราะห์ทั่วโลก คาดว่า ตลาดหุ้นเวียดนามวันนี้ อาจได้รับอนุมัติ โดยมีโอกาสได้รับการเลื่อนสถานะเป็น Emerging Market จาก FTSE Russell และ MSC ในการประเมินรอบถัดไป  ซึ่งจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้าสู่ตลาด พร้อมกับการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากสถาบันระดับโลก เช่น JPMorgan ที่ตั้งเป้า VN-Index ปลายปีไว้ที่ 1,600 จุด

 หรือแม้แต่  "ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร"  ผู้บุกเบิกลงทุนหุ้นเวียดนามก่อนใคร ยังมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาส “ติดจรวดสู่ดวงจันทร์” จากการเปลี่ยนสถานะเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่   และเชื่อว่าตลาดยังสดใสต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2–3 ปี

สุดท้ายนี้ ข้อคิดจาก Benjamin Graham “อย่าจริงจังกับผลตอบแทนรายปีมากเกินไป แต่ให้โฟกัสที่ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะ 4-5 ปี”สรุปคือ หากจัดพอร์ตอย่างมีวินัยและบาลานซ์ดี จะสามารถรับมือทุกสภาวะตลาดและสร้างการเติบโตระยะยาวได้อย่างมั่นคง